
"โลกร้อนเพราะมนุษย์
มาจากหัวจิตหัวใจมนุษย์โดยตรง
"แผ่นดินลุกเป็นไฟ
"ถ้าเป็นสมัยโบราณ
ชาวบ้านชาวเมืองจะนุ่งขาวห่มขาวถือศีลกัน
อีกทั้งยังงดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันทั้งหมด"

แผ่นดินร้อนเป็นไฟ จะดับได้อย่างไร
“ธรรมะ ๕ นาที” จาก “ภูเตศวร”
วันก่อนนั่งคุยกับคุณ “ทมยันตี” เรื่องของเรื่องก็คือความห่วงใยประเทศชาติ...เริ่มตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เงินบาทลอยตัว...และท้ายสุดคือ
ภาวะอากาศอันเลวร้าย !
ณ วันที่เราพูดคุยกัน คือช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเข้าสู่เหมันตฤดู...ที่ควรจะมีความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาบ้างไม่มากก็น้อย หากจนบัดนี้กรุงเทพมหานครรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงร้อนระอุยิ่งกว่าเดือนเมษาฯ เสียอีก...
ภาวะอย่างนี้คล้ายคำโบราณที่ว่า ‘แผ่นดินลุกเป็นไฟ’ ยังไงยังงั้น...ยุคนี้คงต้องเรียกว่า...ข้าวยากน้ำมันแพง แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็น่าจะเรียกว่า ‘ข้าวยากหมากแพง’ อย่างแน่แท้ เหลียวมองดูท้องฟ้าก็มัวซัว อึมครึมอย่างไงพิกล ผู้คนก็ทำท่าป่วยไข้กันทั่วทุกหัวระแหง...
คุณ “ทมยันตี” กล่าวกับผู้เขียนว่า...ถ้าเป็นสมัยโบราณ ชาวบ้านชาวเมืองจะนุ่งขาวห่มขาวถือศีลกัน อีกทั้งยังงดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันทั้งหมด บางท่านอาจหัวเราะมองเป็นเรื่องเหลวไหล แต่คนที่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพลังงานจะเข้าใจ

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังวิตกกับภาวการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าปรากฏการณ์ ‘เอลนิโน่’ ที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวเตือนมา...
‘โลกกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่’
ด้วยฤดูกาลจะแปรเปลี่ยน จนพืชผลขาดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยฝนฟ้าตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล
เหตุทั้งปวงคงไม่ต้องอรรถาธิบายกันมาก ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ ‘เอลนิโน่’ อันเป็นมหันตภัยร้ายบังเกิดจากสาเหตุอันใด ?
เหตุเกิดจากการขาดความสมดุลของโลกด้วยเงื้อมมือมนุษย์นั่นเองครับท่าน
ทุกวันนี้โลกเติบโตด้วยมลพิษจากโรงงาน...ท่อไอเสีย...ป่าถูกทำลายจนเหลือแต่แผ่นดินและตึกคอนกรีต...
ต้นไม้ที่ดูดซับความร้อน...ให้ความร่มเย็น ป้องกันน้ำท่วม ทำให้ฝนตก สูญหายจนสิ้น
นั่นคือสาเหตุที่แท้จริง!
และทั้งปวงเหล่านั้นล้วนเพราะน้ำมือมนุษย์ใช่หรือไม่ ?

พุทธศาสนาสอนเราเรื่อง ‘กรรม’ กรรมะก็คือการกระทำแหละครับ มนุษย์ทำต่อธรรมชาติไว้ ท้ายที่สุดธรรมชาติก็จะกลับมาทำลายมนุษย์เองเป็นธรรมดา
น้ำท่วม...ฝนแล้ง บรรยากาศโลกวิปริตแปรปรวนเหล่านี้ เราจะโทษใคร นอกจากมนุษย์อย่างพวกเราด้วยกัน
ถ้าจะกล่าวว่า วันนี้ ‘กรรม’ กำลังมาเยือนมนุษย์ก็ไม่ผิด ! เคยกล่าวแล้วหลายครั้งว่า กระแสในโลกมีของคู่กันหรือตรงข้ามกันเสมอเป็นสัจจะ...เช่นดีคู่กับเลว...สุขคู่กับทุกข์ ร้อนคู่กับเย็น...เช่นเดียวกับดาวราหูที่เราอาศัยอยู่ในขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะร้อนรุ่ม ความร้อนรุ่มที่บังเกิดจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มนุษย์มิเพียงเบียดเบียนสัตว์อื่น ๆ แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ไม่ละเว้น...
หรือเราจะปฏิเสธว่า การล่าล้าง...ทำลาย มิใช่อุปนิสัยมนุษย์ ?
และปฏิเสธได้หรือว่า การไล่ล่าทำลายมิใช่กระแสร้อนที่สุมหัวจิตหัวใจมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้...?
โลกร้อนเพราะมนุษย์...มาจากหัวจิตหัวใจมนุษย์โดยตรง ที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะไม่ว่าจะทำอะไร มนุษย์ต้องคิดต้องบังเกิดความอยากในใจในความคิดก่อนเสมอ...การดิ้นรน การต่อสู้ การยื้อแย่งแข่งดี การทำลายล้างชีวิตสัตว์ด้วยกัน เขาเรียกว่า ‘เพลิงกิเลสตัณหา’ ใช่หรือไม่
นั่นคือ...ประเด็นที่เราจะวิสัชนากันในวันนี้
ว่า...โลกร้อน แผ่นดินลุกเป็นไฟ ดับได้อย่างไร?

พุทธศาสนาสอนเราให้ดับเพลิงทุกข์...เพลิงร้อน เพลิงกิเลสในจิต เพราะจิตเป็นแหล่งแห่งทุกข์โดยแท้
เรียกว่าดับที่ใจตนด้วยตน !
“ดับอย่างไร ?”
ย่อมต้องมีคำถามเช่นนี้ คำตอบก็คือ
‘เจริญเมตตาธรรม’
ถ้ามนุษย์ทุกคนมีเมตตาธรรม ความร้อนรุ่มจะบรรเทา จิตที่มีเมตตาจะสร้างกระแสเย็นแก่โลก...
ถ้าส่ำสัตว์ทั้งปวง ‘ยุติ’ การเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มีหรือโลกจะไม่ร่มเย็น
ศาสนาพุทธสอนเราให้รู้เหตุ...เหตุจึงทำให้เกิดผล ไม่เพราะคนเพียงกลุ่มเดียวหรอกหรือ วางแผนทำลายระบบการเงินของเรา...ค่าเงินบาทจึงตกฮวบฮาบลงอย่างนี้ อย่างที่เห็นที่เป็น คือการเบียดเบียนกันหรือเปล่าล่ะ...
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะการเบียดเบียนกันหรือไม่ ?

ครับ มนุษย์เป็นอย่างนี้เสมอ...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ คอยคดโกงคอยทำลายล้างกันไม่จบสิ้น ทั้ง ๆ ที่ท้ายสุดแม้แต่ร่างกายที่มีกระดูกเลือดเนื้อก็ต้องผุพังคืนธาตุหยาบแก่โลกทุกคน
นิ่งมองเถอะครับ ไอ้ที่โกงกินมาเป็นหมื่นเป็นพันล้าน ใครเอาไปได้บ้าง เป็นชาวพุทธต้องเชื่อเรื่องกรรม ดังหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ท่านกล่าวไว้
“พระกินของชาวบ้าน ไม่ปฏิบัติธรรม คืนบุญ คืนกุศลให้ชาวบ้าน เกิดชาติหน้าต้องมาเป็นควายไถนาใช้เขา...”
ฉะนั้น เชื่อเถอะครับ...คนกินบ้านกินเมืองกินเงินประชาชน ชาติหน้าจะรับกรรมยิ่งกว่า...
ไม่รวยเงินรวยทองก็ช่างเถอะครับ รวยบุญ รวยทาน รวยกุศล รวยเมตตา มีค่ากว่ากันเยอะ...
ทุกข์ก็อย่าไปท้อ...จนลงก็อย่าไปหวั่น เอาสติสอนตนเข้าไว้ ‘ใครบ้างเกิดมาหอบสมบัติมาด้วย’ ทุกคนมาตัวเปล่า ไปตัวเปล่ากันทั้งนั้น

ขอพูดเรื่องนี้อีกสักนิด เพราะหมู่นี้เจอพรรคพวกที่เป็นนักธุรกิจบ่นอยากฆ่าตัวตายกันเยอะ...
ผมว่าไม่อยากตายเพราะความจนหรอกครับ !
แต่ที่อยากตายก็เพราะ จมไม่ลงมากกว่า เพราะศักดิ์ศรี เพราะอัตตาทำให้มนุษย์เป็นทุกข์ ทั้ง ๆ ที่วันนี้ขายทรัพย์สินที่มียังไงก็ยังมีมากกว่าตอนลืมตาดูโลกแน่ ๆ
บางรายทำให้ผมขำ...บ่นอยากตายแต่ยังขับรถราคาหลายล้าน สวมนาฬิกาเรือนหลาย ๆ แสน ส่วนคนทำไร่ทำนาหาเช้ากินค่ำกลับไม่ได้ยินบ่นอยากตายซักแอะ

วันนี้...สวดมนต์เจริญเมตตาให้มากเข้าไว้ ใจจะได้เย็น จิตกับใจร่มเย็นเสียอย่าง ต่อให้โลกร้อนยังไงเราก็ไม่รู้สึก...เพราะผู้ฝึกสติ ฝึกสมาธิมาดีแล้ว จิตย่อมแข็งแรง แข็งแรงพอที่จะต้านทุกข์ทั้งปวงไม่ให้ครอบงำจิตใจเราได้ !
เห็นทีต้องร่ำลากันด้วยกลอนแปดที่ว่า
‘เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
มาตัวเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา’
.....................................................................................................................
ที่มา :
เรื่อง...จากเว็บไซต์ "ธรรมะ ๕ นาที"
http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=38&wpid=0028
< 01 February 2007 09:21:34 >
ภาพ...จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=220235
.....................................................................................................................
"
มนุษย์เป็นอย่างนี้เสมอ...
มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ
คอยคดโกงคอยทำลายล้างกันไม่จบสิ้น
ทั้ง ๆ ที่ท้ายสุด
แม้แต่ร่างกายที่มีกระดูกเลือดเนื้อ
ก็ต้องผุพัง
คืนธาตุหยาบแก่โลกทุกคน
"
ไอ้ที่โกงกินมาเป็นหมื่นเป็นพันล้าน
ใครเอาไปได้บ้าง
เป็นชาวพุทธต้องเชื่อเรื่องกรรม
"
คนกินบ้านกินเมือง
กินเงินประชาชน
ชาติหน้าจะรับกรรมยิ่งกว่า
"