วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

“ถอดรองเท้าใส่บาตร” มุกนรกจาก “นางสาวผ้าขี้ริ้ว”

 

 

คุณหวานเจี๊ยบ...ดูไปเห่าไป

 

     “ถอดรองเท้าใส่บาตร”    

      “มุกนรกจาก นางสาวผ้าขี้ริ้ว”    

 

 

 

 

            วันก่อน บังเอิญได้มีโอกาสดูละครเรื่อง นางสาวผ้าขี้ริ้ว (ขอย้ำอีกทีว่า บังเอิญ) ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ (เรียกซะเต็มยศเลย)

            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราแก่เกินไปหรือเปล่า ถึงได้ขัดอกขัดใจกับ มุกตลก (อันที่จริงควรเรียก มุกนรก มากกว่า) ที่คนเขียนบทละครเรื่องนี้นำเสนอ

            ลองมาช่วยกันพิจารณาที

 

            ภาพที่ปรากฏในจอโทรทัศน์ พระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังเดินบิณฑบาตผ่านมา สองผัวเมียถือขันข้าว ถาดอาหาร ตั้งท่าคอยตักบาตร

            เมื่อพระคุณเจ้ารูปนั้นเดินมาถึง อ้ายผัวทำท่าจะหยิบอาหารใส่ลงไปในบาตรถวายพระ พลันเสียงอีนังเมียก็แว้ดขึ้นมาว่าให้ ถอดรองเท้าใส่บาตร

            อ้ายผัวก็ทำท่างง ๆ โง่ ๆ ถามย้ำ ๆ ว่า ถอดรองเท้าใส่บาตร แน่หรือ

            พอได้รับคำยืนยันจากอีนังเมีย อ้ายผัวหน้าโง่ก็ถอดรองเท้าตัวเอง แล้วย่อตัวลงไปหยิบรองเท้าทั้งคู่ของมันขึ้นมาใส่ในบาตรพระ

            โชคดีที่อีนังเมียโวยวายเสียก่อน (โวยวายแบบให้คนดูฮาเหมือนมุกตลกเอาถาดตบหัว) อ้ายผัวหน้าโง่นั่นถึงได้ชะงักมือที่หนีบรองเท้าของมันอยู่ประมาณระดับปากบาตรพระ

 

            เราไม่รู้ว่ามุกนี้จะเรียกเสียงฮาจากชาวบ้านร้านตลาดได้แค่ไหน

            แต่เราขำไม่ออก (หวะ)

 

            ยังมีต่ออีกนะ

            มุกต่อจาก ถอดรองเท้าใส่ (ลงไปใน) บาตร ยังมีอีก

 

            อ้ายอีสองผัวเมียนี่ยังทุ่มเถียงกันต่อว่า จะตักข้าวหรือหยิบกับข้าวลงบาตรก่อน

            มันสองคนก็เถียงกันไปเถียงกันมา เถียงกันต่อหน้าพระคุณเจ้านั่นหละ

            เถียงกันอยู่สักพัก สองผัวเมียนี่ก็ทำท่าขึ้งเคืองกัน แล้วสะบัดพรืดลอยหน้าลอยตาเดินหนี (พระ) พร้อมพูดราว ๆ ว่า ไม่ส่งไม่ใส่มันและ คงจะเพื่อส่งอารมณ์ต่อว่า พระเพรอะไม่ต้องฉันกันหละ

 

            เฮ่อ...เราคงแก่เกินกว่าที่จะดูละครไทยแล้วมั้ง

 

            มันตลกตรงไหนหว่ามุกแบบนี้

            ดูยังไงก็ขำไม่ออกวุ้ย

            ได้แต่อยากรู้จักคนเขียน มุกนรก ของบทละครเรื่อง นางสาวผ้าขี้ริ้ว นี้จัง ว่า ลูกใครหว่า (แรงไปป่าว...โทษ..โทษ..)

 

            ขอบคุณทุกผู้ทุกนามที่เข้ามาฟังเราบ่น ๆ จนจบ

            อ่านแล้วฟังแล้วเห็นเป็นอย่างไรบ้างคะ

            เห็นด้วยไหมคะว่า
           
เออหนอ...อิชั้นคงแก่แล้วจริง ๆ

 

 

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

รวมภาพโหดร้ายที่ไม่น่าจดจำ



February 1, 1968.
South Vietnam police chief Nguyen Ngoc Loan shots a young man,
whom he suspects to be a Viet Kong soldier.


ชายหนุ่มที่ต้องสงสัยว่าเป็นพวกเวียดกง
ถูกยิงตายโดย ผบ.ตร. เวียดนามใต้





เรื่องจริงของเพื่อนมนุษย์
ที่กระชากใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจัด ๆ

ไปเจอภาพเหล่านี้มาจาก "โอเคเนชั่น"
http://www.oknation.net/blog/phutanow/2007/06/27/entry-9
เลยนำมาแบ่งให้ชมกัน
เผื่อใครยังไม่เคยเห็น

หลายภาพดูแล้วได้แต่คิดว่า
ทำไมมนุษย์ถึงทำกับมนุษย์ด้วยกันได้เยี่ยงนี้









วันสงกรานต์ - มุมมองในแง่ลบของหลวงวิจิตรวาทการ - วันที่ควรแผ่ส่วนกุศลให้แก่ชาวไทยที่เสียชีวิตในการศึกครั้งกระโน้น

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: History
Author:พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ

 


 


 


คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	พระนเรศวร - พนมทวน ๐๗.jpg
Views:	344
Size:	88.3 KB
ID:	159352  คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	พระเจ้าตาก - บางระจัน ๐๑.jpg
Views:	610
Size:	102.7 KB
ID:	159353



"ไม่น่าจะเป็นไปได้
ที่จะมีผู้ที่เห็นวันสงกรานต์ไม่เป็นวันดี
แต่ถ้าผู้อ่านมองเห็นเจตนารมณ์
ของหลวงวิจิตรวาทการ
ซึ่งมีความรักชาติอย่างแรงกล้าแล้ว
ท่านก็คงจะเข้าใจ
และให้อภัยในถ้อยคำที่ท่านจะได้อ่านต่อไป"


  


 


วันสงกรานต์

โดย...พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ
วิจิตรา รังสิยานนท์...เรียบเรียง


 


คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name:	P001735.jpg
Views:	340
Size:	36.1 KB
ID:	159354


 


          หลวงวิจิตรวาทการได้เขียนอธิบายเรื่อง วันสงกรานต์ ไว้ในนวนิยายเรื่อง กรุงแตก และ ฟากฟ้าสาละวิน เป็นมุมมองที่ผิดไปจากความเข้าใจทั่วไป แต่เป็นคำตอบที่เกี่ยวกับที่มาของวันสงกรานต์ที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นการมองวันสงกรานต์ในแง่ที่ค่อนข้างลบ ซึ่งดูไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีผู้ที่เห็นวันสงกรานต์ไม่เป็นวันดี แต่ถ้าผู้อ่านมองเห็นเจตนารมณ์ของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งมีความรักชาติอย่างแรงกล้าแล้ว ท่านก็คงจะเข้าใจ และให้อภัยในถ้อยคำที่ท่านจะได้อ่านต่อไป


.............................


 


            วันสงกรานต์ ซึ่งเริ่มในเดือน ๕ นั้น เป็นวันสำคัญยิ่งสำหรับชาวพม่า เพราะเป็นปีใหม่ของเขา ปีใหม่ของเขาต้องเป็นต้นเดือน ๕ และวันสงกรานต์ต้องเป็นวันสำคัญที่สุด  อันที่จริงต้นเดือน ๕ และวันสงกรานต์ หรือปีตามจุลศักราชนั้น ควรจะเป็นวันที่ระลึกของพม่าอย่างแท้จริง และเป็นงานชิ้นหนึ่งที่พม่าทำไว้ เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะเหนือชนชาติอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือเหนือชนชาติไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา  เมื่อก่อน ๓๘๐ ปีมาแล้ว ไทยเราใช้พุทธศักราช หรือมหาศักราช และเริ่มปีใหม่ของเราในเดือนอ้าย ซึ่งเรานับเป็นเดือนที่ ๑ และตกในราวธันวาคม  ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ พม่าได้นำเอาจุลศักราชมาบังคับให้เราใช้ พร้อมกับการขึ้นปีใหม่ในต้นเดือน ๕  การให้วันสำคัญในวันสงกรานต์นั้น เป็นเครื่องหมายของความพ่ายแพ้ เพราะเราได้ตกเป็นทาสของพม่าอยู่ถึงสิบห้าปี แต่ไทยเราเป็นชาติที่ลืมง่าย และรับขนบธรรมเนียมของต่างชาติได้ง่าย  วันที่เราถูกบังคับให้ใช้ เพราะเคยแพ้เขาและเป็นเมืองขึ้นเขา ได้กลับกลายมาเป็นวันสำคัญของเราเอง


            ต่อมาอีก ๒๐๐ ปี คือใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าก็ได้เตือนให้เราทราบอีกครั้งหนึ่ง ว่าวันสงกรานต์นั้นคือวันเคราะห์ร้ายพ่ายแพ้ของไทย เป็นวันแห่งความมีชัยของพม่า เมื่อกองทัพพม่ามาล้อมกรุงเป็นครั้งที่ ๒ ในสมัยของมังระ ราชโอรสของอะลองพญา ล้อมอยู่ตั้งปียังตีไม่ได้ เนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ของพม่าได้เตรียมการทุกอย่างที่จะตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้ในวันสงกรานต์ ซึ่งเขาถือเป็นวันโชคชัย  ก่อนจะถึงวันนั้น พม่าได้ทำสะพาน ขุดอุโมงค์เข้ามาจนถึงเชิงกำแพงพระนครศรีอยุธยา  ครั้นถึงวันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ซึ่งเป็นวันเนาว์สงกรานต์ของปีนั้น เนเมียวสีหบดีก็ออกคำสั่งว่าต้องตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกในวันนี้ให้จงได้ เพราะเป็นวันสำคัญ เป็นวันฤกษ์งามยามดีของเขา


          พอบ่ายสามโมงวันนั้น พม่าก็จุดไฟสุมกำแพงเมือง  พอเวลาพลบค่ำ กำแพงเมืองตอนที่ถูกไฟสุมนั้นก็ทรุดลง ในเวลาสองทุ่ม พม่าก็เข้าเมืองได้ และได้เปิดประตูรับทหารพม่าเข้าเมืองได้ทุกด้าน กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒


          ถ้าเป็นชนชาติอื่น เขาจะต้องถือวันสงกรานต์เป็นวันอัปมงคล เขาจะไม่นำวันนี้เป็นวันขัตฤกษ์ รื่นเริงสนุกสนานเล่นสาดน้ำ หรือทำอะไรกันอย่างที่เราทำ  ตรงกันข้ามบางทีเขาจะถือเอาวันอย่างนี้ เป็นวันไว้ทุกข์ให้แก่ชาติ  แต่ไทยเราลืมง่าย วันแพ้ วันอัปมงคล วันที่ตกเป็นทาส ก็ไม่เป็นไร เรายังถือเป็นวันสำคัญ นางสงกรานต์ยังมีชื่อไพเราะเพราะพริ้ง มีเครื่องแต่งกายที่สวยงาม ทัดดอกไม้ต่าง ๆ ประทับบนหลังสัตว์หลายชนิด นับถือบูชากันจนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่มีชาติไหนที่จะใจดีเหมือนกับชาติไทยเรา


.............................


 


            หลวงวิจิตรวาทการได้ให้ข้อคิดแก่เราไว้ว่า ถ้าเราจะทำบุญในวันสงกรานต์ ก็ควรจะทำเผื่อแผ่ส่วนกุศลให้แก่ชาวไทยที่เสียชีวิตไปในการศึกครั้งกระโน้น  แผ่ให้แต่เฉพาะพวกที่ตายไปด้วยความกล้าหาญ ด้วยความเสียสละ ด้วยความรักชาติบ้านเมือง มิใช่แผ่ให้แก่พวกที่หนีทัพ หรือพวกไม่ทำอะไร นอนรอเวลาตาย พวกที่มุ่งคอยแต่จะใช้ให้คนที่เขาเรียกว่า พวกไพร่ ไปตายแทนเขา หรือพวกที่ทำร้ายคนไทยกันเองเพื่อเอาใจศัตรูซึ่งเป็นผู้ชนะ  คนพวกนี้เขามีบุญกุศลอยู่มากแล้ว ไม่ต้องไปแผ่ให้อีก

          ท่านผู้อ่านคงจะได้สัมผัสกับความรู้สึกที่รุนแรงของหลวงวิจิตรวาทการที่มีต่อวันสงกรานต์ ด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว  ความรักชาติของหลวงวิจิตรวาทการมิได้จำกัดอยู่แต่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงอดีตและอนาคตอีกด้วย  ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้น ท่านชื่นชมเคารพบูชาพระกษัตราธิราชเจ้า ที่ได้ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อกู้ชาติให้เราได้มีแผ่นดินอาศัยอยู่ เช่นองค์สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือพระผู้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เมืองไทยได้เป็นที่รู้จักไปไกลถึงยุโรป เช่นสมเด็จพระนารายณ์เป็นต้น  และในขณะเดียวกัน ท่านก็เห็นว่า  ผู้ที่ได้ทำความล่มสลายให้แก่แผ่นดินไทยนั้น ยากที่จะได้รับการให้อภัย  เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของไทยเราก็ไม่ควรที่จะลืมง่าย แต่ควรถือเป็นบทเรียน เพื่อจดจำมิให้อดีตต้องซ้ำรอยได้


          อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อเขียนเกี่ยวกับวันสงกรานต์นี้แล้ว หลวงวิจิตรวาทการก็มิได้แสดงการต่อต้านในทางอื่นใด  ท่านใจกว้างพอที่จะมองเห็นคุณความดีของวันสงกรานต์ที่มีต่อจิตใจของคนทั่วไป รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงาม ที่ชาวไทยถือปฏิบัติกันในวันขึ้นปีใหม่  ในครอบครัวของท่านเอง ลูก ๆ ก็ยังถูกสอนให้นำพวงมาลัย หรือผ้า ไปกราบคุณยายในวันสงกรานต์ เพื่อขอพรจากท่าน  สิ่งเดียวที่ขัดตาขัดใจของหลวงวิจิตรวาทการ คือการละเล่นที่รื่นเริงเกินขอบเขตของชนรุ่นหลัง  ท่านจึงอยากให้สำนึกเสียบ้างว่า ความสนุกสนานจนเกินเลยของเขาเหล่านั้น มีที่มาอย่างไร  บางทีหากเขาได้ทราบความเป็นมาในอดีตของวันสงกรานต์ ก็อาจทำให้เขาเหล่านั้นเล่นสงกรานต์กันอย่างมีสติขึ้นก็ได้


 



.....................................................................................
จากหนังสือ...ตามรอยความคิด จากนวนิยายของหลวงวิจิตรวาทการ
เรื่อง...วันสงกรานต์
เรียบเรียงโดย...วิจิตรา (วิจิตรวาทการ) รังสิยานนท์
คัดลอกและพิมพ์โดย...ง้วนดิน
ที่มา : http://board.palungjit.com/showthread.php?t=75657
.....................................................................................


 


บรรณานุกรม


            วิจิตรา รังสิยานนท์.  วันสงกรานต์.  ตามรอยความคิด จากนวนิยายของหลวงวิจิตรวาทการ.  กรุงเทพฯ : บริษัทสร้างสรรค์บุ๊คส์ จำกัด, ๒๕๔๔.


 


 


 




"ถ้าเราจะทำบุญในวันสงกรานต์
ก็ควรจะทำเผื่อแผ่ส่วนกุศลให้แก่ชาวไทย
ที่เสียชีวิตไปในการศึกครั้งกระโน้น

แผ่ให้แต่เฉพาะพวกที่ตายไป
ด้วยความกล้าหาญ
ด้วยความเสียสละ
ด้วยความรักชาติบ้านเมือง

มิใช่
แผ่ให้แก่พวกที่หนีทัพ
หรือพวกไม่ทำอะไร นอนรอเวลาตาย
พวกที่มุ่งคอยแต่
จะใช้ให้คน
ที่เขาเรียกว่า พวกไพร่
ไปตายแทนเขา
หรือพวกที่ทำร้ายคนไทยกันเอง
เพื่อเอาใจศัตรูซึ่งเป็นผู้ชนะ

คนพวกนี้
เขามีบุญกุศลอยู่มากแล้ว

ไม่ต้องไปแผ่ให้อีก"


 


 


 


 


วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

โทษประหารชีวิต ๒๑ สถาน ในสมัยโบราณ

Rating:★★★
Category:Other





 


 


 


 



โทษประหารชีวิต ๒๑ สถาน


ในสมัยโบราณ




           
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทย เราพบว่ามีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือโทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่สอง และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้ มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่สองทุกประการ


            วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึกบันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหารยี่สิบเอ็ดวิธี หรือยี่สิบเอ็ดสถาน ดังนี้


 

            สถาน ๑  คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม



            สถาน ๒  คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์



            สถาน ๓  คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก



            สถาน ๔  คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด



            สถาน ๕  คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด



            สถาน ๖  คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย



            สถาน ๗  คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอว และให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า



            สถาน ๘  คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่น แล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย



            สถาน ๙  คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย



            สถาน ๑๐  คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง (นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง : มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)



            สถาน ๑๑  คือ ให้แล่สับทั่วร่าง แล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก



            สถาน ๑๒  คือ ให้นอนลงโดยข้าง ๆ หนึ่ง แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)



            สถาน ๑๓  คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า



            สถาน ๑๔  คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย



            สถาน ๑๕  คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า



            สถาน ๑๖  คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ



            สถาน ๑๗  คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อย ๆ จนกว่าจะตาย



            สถาน ๑๘  คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้ แล้วไถด้วยไถเหล็กให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่



            สถาน ๑๙  คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนม ให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย



            สถาน ๒๐  คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย



            สถาน ๒๑  คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย


 








          ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔, หนังสือพิมพ์ภาษาฝรั่งเศสฉบับหนึ่ง ได้ลงเรื่องการประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะในประเทศสยาม ซึ่งขณะนั้นเป็นที่รู้กันว่าหมายถึงประเทศไทย มีการบรรยายภาพว่า 

          “Une Execuction Capitale Au Siam” 
          ภาพโดย (copyright) ริชาร์ด เอส เอริคช์ 

          ภาพวาดแสดงถึงให้เห็นถึงการลงโทษในประเทศไทย ตามคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ ให้ได้รับการทรมาน และถูกประหารชีวิตในที่สุด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในศตวรรษที่ ๑๕


 




 



ที่มา :


- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


  http://th.wikipedia.org/wiki/โทษประหารชีวิต


- http://www.buildboard.com/viewtopic.php/1161/10521/13576/0/


- http://www.pattayadailynews.com/thai/showfeature.php?FeatureID=0000000474


 


 


 


 


วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

แผ่นดินร้อนเป็นไฟ จะดับได้อย่างไร...ธรรมะ ๕ นาที จาก "ภูเตศวร"

Rating:★★★
Category:Other

 


"โลกร้อนเพราะมนุษย์
มาจากหัวจิตหัวใจมนุษย์โดยตรง

"แผ่นดินลุกเป็นไฟ

"
ถ้าเป็นสมัยโบราณ
ชาวบ้านชาวเมืองจะนุ่งขาวห่มขาวถือศีลกัน
อีกทั้งยังงดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันทั้งหมด"


  


 


 


 


 


 



 


แผ่นดินร้อนเป็นไฟ จะดับได้อย่างไร


ธรรมะ ๕ นาที  จาก ภูเตศวร


 


 


 


 


            วันก่อนนั่งคุยกับคุณ ทมยันตี เรื่องของเรื่องก็คือความห่วงใยประเทศชาติ...เริ่มตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เงินบาทลอยตัว...และท้ายสุดคือ


            ภาวะอากาศอันเลวร้าย !


 


            ณ วันที่เราพูดคุยกัน คือช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเข้าสู่เหมันตฤดู...ที่ควรจะมีความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาบ้างไม่มากก็น้อย หากจนบัดนี้กรุงเทพมหานครรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงร้อนระอุยิ่งกว่าเดือนเมษาฯ เสียอีก...


 


            ภาวะอย่างนี้คล้ายคำโบราณที่ว่า แผ่นดินลุกเป็นไฟ ยังไงยังงั้น...ยุคนี้คงต้องเรียกว่า...ข้าวยากน้ำมันแพง  แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็น่าจะเรียกว่า ข้าวยากหมากแพง อย่างแน่แท้  เหลียวมองดูท้องฟ้าก็มัวซัว อึมครึมอย่างไงพิกล  ผู้คนก็ทำท่าป่วยไข้กันทั่วทุกหัวระแหง...


 


            คุณ ทมยันตี กล่าวกับผู้เขียนว่า...ถ้าเป็นสมัยโบราณ ชาวบ้านชาวเมืองจะนุ่งขาวห่มขาวถือศีลกัน  อีกทั้งยังงดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันทั้งหมด  บางท่านอาจหัวเราะมองเป็นเรื่องเหลวไหล  แต่คนที่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพลังงานจะเข้าใจ



 


 


 


            ขณะนี้ทั่วโลกกำลังวิตกกับภาวการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าปรากฏการณ์ เอลนิโน่ที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวเตือนมา...


            โลกกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่


            ด้วยฤดูกาลจะแปรเปลี่ยน จนพืชผลขาดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยฝนฟ้าตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล


 


            เหตุทั้งปวงคงไม่ต้องอรรถาธิบายกันมาก  ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ เอลนิโน่อันเป็นมหันตภัยร้ายบังเกิดจากสาเหตุอันใด ?


            เหตุเกิดจากการขาดความสมดุลของโลกด้วยเงื้อมมือมนุษย์นั่นเองครับท่าน


 


            ทุกวันนี้โลกเติบโตด้วยมลพิษจากโรงงาน...ท่อไอเสีย...ป่าถูกทำลายจนเหลือแต่แผ่นดินและตึกคอนกรีต...


            ต้นไม้ที่ดูดซับความร้อน...ให้ความร่มเย็น  ป้องกันน้ำท่วม  ทำให้ฝนตก  สูญหายจนสิ้น


            นั่นคือสาเหตุที่แท้จริง!


            และทั้งปวงเหล่านั้นล้วนเพราะน้ำมือมนุษย์ใช่หรือไม่ ?



 


 


 


            พุทธศาสนาสอนเราเรื่อง กรรมกรรมะก็คือการกระทำแหละครับ มนุษย์ทำต่อธรรมชาติไว้ ท้ายที่สุดธรรมชาติก็จะกลับมาทำลายมนุษย์เองเป็นธรรมดา


            น้ำท่วม...ฝนแล้ง  บรรยากาศโลกวิปริตแปรปรวนเหล่านี้ เราจะโทษใคร  นอกจากมนุษย์อย่างพวกเราด้วยกัน


 


            ถ้าจะกล่าวว่า วันนี้ กรรมกำลังมาเยือนมนุษย์ก็ไม่ผิด !  เคยกล่าวแล้วหลายครั้งว่า กระแสในโลกมีของคู่กันหรือตรงข้ามกันเสมอเป็นสัจจะ...เช่นดีคู่กับเลว...สุขคู่กับทุกข์ ร้อนคู่กับเย็น...เช่นเดียวกับดาวราหูที่เราอาศัยอยู่ในขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะร้อนรุ่ม   ความร้อนรุ่มที่บังเกิดจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน  มนุษย์มิเพียงเบียดเบียนสัตว์อื่น ๆ แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ไม่ละเว้น...


 


            หรือเราจะปฏิเสธว่า  การล่าล้าง...ทำลาย  มิใช่อุปนิสัยมนุษย์ ?


          และปฏิเสธได้หรือว่า  การไล่ล่าทำลายมิใช่กระแสร้อนที่สุมหัวจิตหัวใจมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้...?


 


            โลกร้อนเพราะมนุษย์...มาจากหัวจิตหัวใจมนุษย์โดยตรง  ที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะไม่ว่าจะทำอะไร  มนุษย์ต้องคิดต้องบังเกิดความอยากในใจในความคิดก่อนเสมอ...การดิ้นรน  การต่อสู้  การยื้อแย่งแข่งดี  การทำลายล้างชีวิตสัตว์ด้วยกัน เขาเรียกว่า เพลิงกิเลสตัณหาใช่หรือไม่


 


            นั่นคือ...ประเด็นที่เราจะวิสัชนากันในวันนี้


            ว่า...โลกร้อน แผ่นดินลุกเป็นไฟ ดับได้อย่างไร?



 


 



 



            พุทธศาสนาสอนเราให้ดับเพลิงทุกข์...เพลิงร้อน  เพลิงกิเลสในจิต เพราะจิตเป็นแหล่งแห่งทุกข์โดยแท้


            เรียกว่าดับที่ใจตนด้วยตน !


            ดับอย่างไร ?”


          ย่อมต้องมีคำถามเช่นนี้ คำตอบก็คือ


            เจริญเมตตาธรรม


            ถ้ามนุษย์ทุกคนมีเมตตาธรรม ความร้อนรุ่มจะบรรเทา จิตที่มีเมตตาจะสร้างกระแสเย็นแก่โลก...


            ถ้าส่ำสัตว์ทั้งปวง ยุติ การเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มีหรือโลกจะไม่ร่มเย็น


 


            ศาสนาพุทธสอนเราให้รู้เหตุ...เหตุจึงทำให้เกิดผล  ไม่เพราะคนเพียงกลุ่มเดียวหรอกหรือ  วางแผนทำลายระบบการเงินของเรา...ค่าเงินบาทจึงตกฮวบฮาบลงอย่างนี้  อย่างที่เห็นที่เป็น  คือการเบียดเบียนกันหรือเปล่าล่ะ...


          ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะการเบียดเบียนกันหรือไม่ ?



 


 


 


            ครับ มนุษย์เป็นอย่างนี้เสมอ...มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ  คอยคดโกงคอยทำลายล้างกันไม่จบสิ้น  ทั้ง ๆ ที่ท้ายสุดแม้แต่ร่างกายที่มีกระดูกเลือดเนื้อก็ต้องผุพังคืนธาตุหยาบแก่โลกทุกคน


 


            นิ่งมองเถอะครับ  ไอ้ที่โกงกินมาเป็นหมื่นเป็นพันล้าน  ใครเอาไปได้บ้าง  เป็นชาวพุทธต้องเชื่อเรื่องกรรม  ดังหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ท่านกล่าวไว้


            พระกินของชาวบ้าน ไม่ปฏิบัติธรรม คืนบุญ คืนกุศลให้ชาวบ้าน   เกิดชาติหน้าต้องมาเป็นควายไถนาใช้เขา...


           


            ฉะนั้น เชื่อเถอะครับ...คนกินบ้านกินเมืองกินเงินประชาชน ชาติหน้าจะรับกรรมยิ่งกว่า...


 


            ไม่รวยเงินรวยทองก็ช่างเถอะครับ รวยบุญ รวยทาน รวยกุศล รวยเมตตา มีค่ากว่ากันเยอะ...


 


            ทุกข์ก็อย่าไปท้อ...จนลงก็อย่าไปหวั่น  เอาสติสอนตนเข้าไว้  ใครบ้างเกิดมาหอบสมบัติมาด้วยทุกคนมาตัวเปล่า ไปตัวเปล่ากันทั้งนั้น



 


 


 


            ขอพูดเรื่องนี้อีกสักนิด  เพราะหมู่นี้เจอพรรคพวกที่เป็นนักธุรกิจบ่นอยากฆ่าตัวตายกันเยอะ...


            ผมว่าไม่อยากตายเพราะความจนหรอกครับ !


            แต่ที่อยากตายก็เพราะ  จมไม่ลงมากกว่า  เพราะศักดิ์ศรี  เพราะอัตตาทำให้มนุษย์เป็นทุกข์  ทั้ง ๆ ที่วันนี้ขายทรัพย์สินที่มียังไงก็ยังมีมากกว่าตอนลืมตาดูโลกแน่ ๆ


            บางรายทำให้ผมขำ...บ่นอยากตายแต่ยังขับรถราคาหลายล้าน  สวมนาฬิกาเรือนหลาย ๆ แสน  ส่วนคนทำไร่ทำนาหาเช้ากินค่ำกลับไม่ได้ยินบ่นอยากตายซักแอะ



 


 


 


            วันนี้...สวดมนต์เจริญเมตตาให้มากเข้าไว้  ใจจะได้เย็น  จิตกับใจร่มเย็นเสียอย่าง ต่อให้โลกร้อนยังไงเราก็ไม่รู้สึก...เพราะผู้ฝึกสติ  ฝึกสมาธิมาดีแล้ว  จิตย่อมแข็งแรง  แข็งแรงพอที่จะต้านทุกข์ทั้งปวงไม่ให้ครอบงำจิตใจเราได้ !


 


            เห็นทีต้องร่ำลากันด้วยกลอนแปดที่ว่า

                                  เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า


                   เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน


                   มาตัวเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร


                   เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา


 


 


 


.....................................................................................................................

ที่มา :

เรื่อง...จากเว็บไซต์ "ธรรมะ ๕ นาที"

http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=38&wpid=0028

< 01 February 2007 09:21:34 >

ภาพ...จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=220235

.....................................................................................................................


 


 


"
มนุษย์เป็นอย่างนี้เสมอ...
มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ 
คอยคดโกงคอยทำลายล้างกันไม่จบสิ้น 
ทั้ง ๆ ที่ท้ายสุด
แม้แต่ร่างกายที่มีกระดูกเลือดเนื้อ
ก็ต้องผุพัง
คืนธาตุหยาบแก่โลกทุกคน


"
ไอ้ที่โกงกินมาเป็นหมื่นเป็นพันล้าน 
ใครเอาไปได้บ้าง 
เป็นชาวพุทธต้องเชื่อเรื่องกรรม


"
คนกินบ้านกินเมือง
กินเงินประชาชน
ชาติหน้าจะรับกรรมยิ่งกว่า
"