วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เปิดคำพิพากษาจำคุกแม้ว เซ็นให้เมียซื้อที่

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


เปิดคำพิพากษาจำคุกแม้ว
เซ็นให้เมียซื้อที่
ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
ไร้จริยธรรมทางการเมือง! 



โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๑๙:๔๐ น.


 


พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 



 
เปิดคำพิพากษาย่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก “ทักษิณ” ๒ ปี ฐานผิดกฎหมาย ป.ป.ช. โดยไม่รอลงอาญา เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี กลับฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง
      
        คลิกที่นี่ เพื่อฟัง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฯ อ่านคำพิพากษา คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ
      
       วันนี้ (๒๑ ต.ค.) เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน ๓๓ ไร่ มูลค่า ๗๗๒ ล้านบาทเศษ ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ ๑-๒ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. ๒๕๒๔ ม.๔, ๑๐๐ และ ๑๒๒ ประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๓, ๘๓, ๘๖, ๙๑, ๑๕๒ และ ๑๕๗ ซึ่งท้ายคำฟ้อง อัยการสูงสุด ขอศาลมีคำสั่งให้ยึดที่ดินและเงินที่ซื้อที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย
      
       โดยศาลพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จำเลยที่ ๑-๒ โต้แย้งว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ ๓๐ เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ลงวันที่ ๓๐ ก.ย. ๔๙ ข้อ ๒ และข้อ ๕ และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔, ๑๐๐ และ ๑๒๒ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐, รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี ๒๕๔๙, รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ศาลเห็นว่า เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ ๕/๒๕๕๑ แล้วว่า ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. ปี ๒๕๕๐ และมีคำวินิจฉัยที่ ๑๑/๒๕๕๑ ว่า ม.๔, ๑๐๐ และ ม.๑๒๒ ว่า ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนุญ ๒๕๕๐ ม.๒๖-๒๙ ม.๓๙ และ ๔๓ เช่นกัน องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
      
       มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ หรือไม่ ซึ่งที่จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าเมื่อประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ให้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ สิ้นสุดลงวันที่ ๑๙ ก.ย. ๔๙ มีผลทำให้ พ.ร.บ. ดังกล่าวสิ้นสุดลงตามไปด้วย โดยต่อมาวันที่ ๒๒ ก.ย. ๔๙ คปค. ได้ออกประกาศ คปค. ฉบับที่ ๑๙ ให้ พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้บังคับต่อไป แต่การใช้บังคับก็ต้องเป็นเฉพาะกรณีที่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นตั่งแต่วันที่ ๒๒ ก.ย. ๔๙ เป็นต้นไปเท่านั้น ศาลเห็นว่า การทำรัฐประหารเป็นการยึดอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการมารวมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณะหนึ่งคณะใดใช้อำนาจนั้น แต่ไม่ได้เป็นการประสงค์ล้มล้างการใช้อำนาจแต่อย่างใด โดยเมื่อ คปค. ยึดอำนาจแล้วออกประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ที่ให้รัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง แต่ศาลอื่นยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีได้ จึงแสดงให้เห็นว่า กฎหมายที่ยังใช้อยู่ในขณะนั้นไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ดังนั้น แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.จะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ซึ่งตราขึ้นใช้โดยชอบแล้ว ดังนั้น ย่อมมีสถานะภาพเทียบเท่ากับกฎหมายทั่วไป ถือว่าไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและยังสามารถใช้บังคับใช้ได้ โดยไม่เกี่ยวว่ารัฐธรรมนูญจะมีอยู่หรือไม่ ดังนั้นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จึงไม่มีผลทำให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงด้วยแต่อย่างใด ส่วนที่ คปค. ออกประกาศฉบับที่ ๑๙ ให้ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ใช้บังคับต่อไปก็เป็นการยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้ถูกยกเลิก องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช.ยังมีผลบังคับใช้อยู่ไมได้ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓ ข้อโต้แย้งของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
      
       ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า คตส.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบไต่สวน และศาลฎีกาฯมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ๒๕๔๒ ม.๑๐๐ และ ๑๒๒ จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ได้มีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมาย คตส. ไม่ใช่พนักงานสอบสวนตาม ป. อาญา และไม่มีอำนาจสอบสวนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช.และจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ศาลเห็นว่า ก่อนการยึดอำนาจ ในการดำเนินคดีอาญาต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๙ ที่กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมือง แต่หลังการยึดอำนาจแล้วมีประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. แต่งตั้ง คตส. ซึ่งข้อ ๕ ของประกาศดังกล่าวให้ คตส. มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบสัญญา สัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่เห็นว่าอาจมิชอบด้วยกฎหมายหรือน่าจะมีการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบ หรือการตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยให้ คตส. มีอำนาจตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และข้อ ๙ ประกาศดังกล่าวกำหนดว่า กรณีที่ตรวจสอบแล้ว คตส. มีมติว่า มีบุคคลกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการให้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ การยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ดังนั้น สถานะภาพของ คตส. จึงมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบตามที่เป็นไปตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. ซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งแม้ คตส. ไม่ใช้พนักงานสอบสวนตาม ป. วิอาญา แต่ก็มีอำนาจสอบสวนได้ตามกฎหมาย
      
       ส่วนการไต่สวนจะเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ตามฟ้องโจทก์ ระบุว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดในการทำสัญญาจะซื้อจะขายกับกองทุน โดยโจทก์เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการที่จะป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดในการขัดประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของรัฐ โดยการทำสัญญากับรัฐ ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังอาจเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ การกระทำดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจที่ คตส. จะตรวจสอบตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ข้อ ๕ และตามฟ้องโจทก์ยังระบุว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.๑๕๒ และ ๑๕๗ และ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ ซึ่งจำเลยที่ ๒ แม้จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นคู่สมรส ศาลเห็นว่า ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. ข้อ ๕ วรรคท้าย ให้ คตส. มีอำนาจตรวจสอบเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานอื่นใด และศาลได้ความจากการไต่สวน นายวีระ สมความคิด ผู้ร้องทุกข์กับ คตส. พยานโจทก์ ว่า เคยร้องทุกข์เรื่องนี้กับกองบังคับการกองปราบปราม แต่ไม่เป็นผล เมื่อ คปค. ทำการยึดอำนาจและแต่งตั้ง คตส. พยานจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส. ขณะที่ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. พยานโจทก์เบิกความว่า คตส. ดำเนินการเรื่องนี้ตามที่มีผู้ร้องเรียนมา ซึ่งการดำเนินการของ คตส. เป็นการดำเนินการตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ข้อ ๕ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตามที่จำเลยทั้งสองโต้แย้ง ซึ่งหลังจากการไต่สวนแล้ว คตส. เห็นว่า มีมูลจึงแจ้งให้ผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๖๖ และทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ต่อมากองทุนฯ มีหนังสือกล่าวโทษแจ้งไปยัง คตส. ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุนฯ  เบิกความว่า การซื้อที่ดินอาจทำให้กองทุนได้รับความเสียหายจึงมีมติให้ยื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส. โดยเห็นว่า หากมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อาจทำให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโฆฆะ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า กองทุนฯ ไม่ได้รับความเสียหายนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอ.อาวุโสฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. ว่า เป็นเพียงความเห็นของพยาน ว่า เป็นการซื้อขายโดยเป็นธรรมและเปิดเผยและกองทุนฯได้กำไร ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการที่กองทุนฯ เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง กองทุนฯ จึงมีสิทธิยื่นร้องทุกข์ องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คตส .มีอำนาจตรวจสอบดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองและมีการร้องทุกข์โดยชอบถูกต้องตามกฎหมาย โดยศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ ม.๙ (๑) และ (๒)
      
       คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อนุ ๑ หรือไม่ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่ากองทุนฯ ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ และไม่ใช่เรื่องกันขัดกันของประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม ศาลเห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่ากองทุนฯ ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ นั้น ศาลเห็นว่า พ.ร.บ. ดังกล่าว ม.๔ ไม่ได้บัญญัติคำว่าหน่วยงานของรัฐไว้เป็นการเฉพาะ แต่ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. ๒๕๔๒ ม.๓ ได้บัญญัติว่าหน่วยงานรัฐ คือ กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐดังนั้นซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์สอดคล้องกับ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ในการป้องกันการใช้อำนาจรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และกฎหมายทั้งสองฉบับยังตราขึ้นในปีเดียวกัน ดังนั้นคำว่าหน่วยงานของรัฐจึงมีความหมายเป็นไปทำนองเดียวกัน ซึ่งจากการไต่สวนได้ความว่ากองทุนถูกตั้งขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตาม พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๕ ม.๒๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจดูแลและพิจารณาส่งเงินเข้าสนับสนุนเป็นครั้งๆ ดังนั้น องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ากองทุนฯเป็นหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อนุ ๑
       
       ที่จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่กำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ นั้น ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.มีเจตนาป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐมีให้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแลของตน เพราะการมีอำนาจอาจส่งผลกระทบต่อการสั่งการและอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันระหว่างส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการปฎิบัติหน้าที่ได้ โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้ใช้บังคับกับตำแหน่งราชการทั่วไป แต่ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการระดับสูง โดยขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐมนตรีตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา และตาม พ.ร.บ. บริหารระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจบริหารราชการ ๓ ส่วน คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดย ม. ๑๑ กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปทั้ง ๓ ส่วนราชการ มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการทั้งในกระทรวง ทบวง กรม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย และ ม.๔๐ กำหนดให้แต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีกำหนดนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่ ครม.แถลงต่อรัฐสภา จึงมีอำนาจการบริหารเหนืออำนาจข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ขณะที่ ธปท.เป็นนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.ธปท.โดยกองทุนฯ ก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ฟื้นฟูสถาบันการเงินเหมือน ธปท.กองทุนฯจึงเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งแม้กรรมการจัดการกองทุน จะมีอิสระ แต่ก็มีผู้ว่าฯ ธปท.เป็นประธาน และปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานล้วนมีความเกี่ยวข้องที่จะให้คุณให้โทษได้ โดย รมว.คลัง ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าฯ ธปท.และอดีต รมว.คลัง เบิกความว่า กองทุนมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งในยุครัฐบาลของนายชวน หลีกภัย นั้น นายธารินทร์ นิมมาเหมินท์ รมว.คลัง ขณะนั้น ได้มีการเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอออกพันธบัตรจำนวน ๕ แสนล้านบาท เพื่อล้างหนี้ให้กองทุนฯ นอกจากนึ้พยานยังเคยเสนอรัฐบาลออกพันธบัตรจำนวน ๗.๘ แสนล้านบาทอีกด้วย ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เบิกความว่า เงินที่สนับสนุนกองทุนฯได้มาจากการอุดหนุนของรัฐบาล โดย รมว.คลัง มีอำนาจเข้ามากำกับดูแลผ่านปลัดกระทรวงการคลังที่เป็นรองประธานกรรมการจัดการกองทุนฯ โดย นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายไพโรจน์ เฮงสกุล นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ อดีต ผจก.กองทุน พยานโจทก์ต่างก็เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่า กองทุนฯจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ธปท.และเป็นการตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินว่าจะได้รับเงินคืนหากสถาบันการเงินเกิดปัญหาล้มละลาย ซึ่งจากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจกำกับดูแลกองทุนได้โดยผ่าน รมว.คลังตามลำดับชั้น ดังนั้นองค์คณะจึงมีมติ ๖ ต่อ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ ข้อต่อสู่ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
      
       มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่าการทำสัญญาซื้อขายของจำเลยที่ ๑ เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๒๐๐ อนุ ๑ หรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวบัญญัติเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่รู้กันอย่างชัดแจงรวมทั้งจำเลยที่ ๑ และเหตุที่ต้องมีการตั้งกองทุนฯเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ หากปล่อยให้สถาบันการเงินล้มจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจประเทศชาติเสียหาย จึงจำเป็นต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือ อาทิ นำเงินไปซื้อที่ดินหรือทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริงเพื่อให้สถาบันการเงินได้กำไร นำเงินไปชำระหนี้ ให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งที่ดินพิพาทคดีนี้กองทุนฯ ซื้อมาจากบ.เงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน ๑๓ โฉนด เนื้อที่ ๓๕ ไร่เศษ มูลค่า ๒,๑๔๐ ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรม มูลค่า ๒,๗๔๙ ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินปี ๓๘ ต่อมาปี ๔๔ กองทุนฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่องโดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ ๗๐๐ กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนมีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง โดยต่อมากองทุนฯ นำที่ดินออกประมูลทางอินเตอร์เน็ตตั้งราคาขั้นต่ำ ๘๗๐ ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ ๑๐ ล้าน มีผู้เสนอตัวแต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงเลิกประมูลเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น ๑๐๐ ล้านบาท อันเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง จำเลยที่ ๒ เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก ๒ บริษัท คือ บ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และบ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอแต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา ซึ่งแม้กองทุนฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ ๒ เสนอ ๗๗๒ ล้านบาท เป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ ๑ เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูงอีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลนายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อเพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ ๒ มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้น ยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้
      
       เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ได้ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาซื้อขายที่ดินย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ. ปปช. ๒๕๔๒ ม.๑๐๐(๑) วรรคสาม ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าการลงชื่อยินยอมเป็นเพียงทำตามระเบียบราชการ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการซื้อขาย องค์คณะจึงมีมติ ๕ ต่อ ๔ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ปปช.ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม และต้องรับโทษตาม ม.๑๒๒ ขอต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
      
       ส่วนจำเลยที่ ๒ องค์คณะมีมติ ๗ ต่อ ๒ เห็นว่า ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ปปช.ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม ไม่ต้องรับโทษตาม ม.๑๒๒ เพราะ พ.ร.บ. ปปช. ม.๑๐๐ ไม่ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับคู่สมรสที่กระทำความผิด มีแต่บทลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามหลักกฎหมายอาญาเมื่อมีกฎหมายให้ลงโทษศาลจึงไม่อาจลงโทษได้
      
       สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๕๒, ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและผู้สนับสนุนเข้ามีส่วนได้เสียกับหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ตน องค์คณะ ๘ ต่อ ๑ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิด เพราะการกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ดูแลกองทุนฯ แต่จำเลยได้ดำเนินการในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ ๒ ให้ความยินยอมทำสัญญาซื้อขายที่ดินอันผิดต่อ พ.ร.บ.ปปช. จึงไม่ผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๕๒ ม.๑๕๗
       
       เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิด จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
      
       ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดินและเงินซื้อที่ดินจำนวน ๗๗๒ ล้านบาท องค์คณะมีมติ ๗ ต่อ ๒ เห็นว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงมิใช่ทรัพย์อันพึงริบตามประมวลฎหมายอาญา ม.๓๓(๑) (๒) ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ ๑ กลับฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งจึงไม่สมควรรอการลงโทษ
      
       พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ปปช. ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม และ ม.๑๒๒ วรรคหนึ่งให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ส่วนความผิดฐานอื่นและคำขออื่นให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ ๑ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ ๑ เพื่อมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป ส่วนจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้องจึงให้เพิกถอนหมายจับเฉพาะคดีนี้


 



ที่มา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000125244



 
 

6 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมเมียมันไม่ผิดหล่ะ

    ตอบลบ

  2. เมียไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐหนิ

    ตอบลบ
  3. ๒ ปี น้อยไป
    แต่เปลี่ยนสถานภาพคนบางคน
    จาก "ผู้ต้องหา" มาเป็น "นักโทษ" นี่ พี่ว่าก็เอาละนะ
    มากโขอยู่เหมือนกัน

    ตอบลบ