Rating: | ★★★ |
Category: | Other |
มาพักฟังเรื่องฮา ๆ กันบ้างดีกว่า
พักนี้เห็นพี่น้องเราเครียด ๆ กันจัง
(ข้าพเจ้าด้วยแหละ)
ตำนาน “ดาบเอ็กซ์คาริเบอร์” ของกษัตริย์อาเธอร์
ทุกท่านคงรู้จัก หรืออย่างน้อยก็น่าจะเคยคุ้นหูกับตำนาน “ดาบเอ็กซ์คาริเบอร์” ของกษัตริย์อาเธอร์กันมาบ้าง วันนี้ผมมีความยินดีจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับดาบเอ็กซ์คาริเบอร์ในหลาย ๆ เรื่องที่ทุกท่านอาจไม่รู้ หรือรู้ แต่ก็คงคาดไม่ถึง ข้อมูลเหล่านี้ ผมได้ใช้เวลาศึกษามาเป็นเวลาแรมเดือน รับรองว่า สนุกสุด ๆ
พระเจ้าอาเธอร์ กำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดา แต่มีบุญบารมี สามารถดึงดาบวิเศษที่ปักอยู่ในหินออกมาได้ ดาบเล่มนี้ใครก็ตามที่สามารถดึงออกมาได้จะได้เป็นกษัตริย์ (บ้างก็เล่าว่าดาบในหินนี้เป็นของกษัตริย์แม็กซิมัส) ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “ดาบแห่งอังกฤษ” (Sword of Britain) แต่บางตำนานก็เล่าว่าพระองค์ได้ดาบนี้มาจากเทพธิดาแห่งทะเลสาบ
หลังการตายของกษัตริย์อาเธอร์ เทพธิดาแห่งทะเลสาบได้มารับกลับไป และเพื่อป้องกันดาบวิเศษเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนชั่ว ดาบจึงถูกหลอมเหลวอยู่ในรูปของเหล็กไหล และมันได้เคลื่อนตัวไปตามรอยแยกของเปลือกโลก กระจายไปยังทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก ส่วนหนึ่งนั้น ตามหลักฐานที่ได้ มันได้ไหลไปยังประเทศจีน “ต๊กโกวคิวป่าย” ได้โลหะส่วนนี้ไป และได้นำไปตีขึ้นเป็นดาบแท่งสีดำทะมึน ซึ่งต่อมาดาบเล่มนี้ได้ตกไปอยู่ในมือจอมยุทธ์ “เอี้ยก้วย”
หลังจากจอมยุทธ์เอี้ยได้หนีความวุ่นวายในยุทธภพ ดาบได้ถูกนำไปหลอมใหม่กลายเป็น “กระบี่อิงฟ้า” กับ “ดาบฆ่ามังกร” ในยุคสมัยของ “เตียบ่อกี้” ส่วนลูกหลานของเอี้ยก้วย เชื่อกันว่า ได้มาปรากฏตัวยังแผ่นดินสยาม ลูกหลานรุ่นปัจจุบัน ได้แก่ “เอี้ยเหลิม” เป็นต้น
โลหะอีกส่วนหนึ่งถูกขุนศึกในสมัยอยุธยาของไทยจับได้ เขาได้นำไปรวมกับตะปูเจ็ดป่าช้า แล้วตีมันขึ้นมาพร้อมกับตั้งชื่อว่า “ดาบฟ้าฟื้น”
ใช่แล้วครับ ขุนศึกผู้นี้ก็คือ “ขุนแผนแสนสะท้าน” นั่นเอง และเนื่องจากขุนแผนไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี มีสัมพันธ์สวาทกับหญิงสาวหลายคน สุดท้ายดาบเล่มนี้ก็ต้องคืนสู่ท้องน้ำอีกครา
แต่อิทธิฤทธิ์ของดาบเล่มนี้เกรียงไกรมาก และส่งผลมาถึงยุคปัจจุบัน (เกี่ยวกันไง ติดตามต่อไปครับ) โลหะอีกส่วนไหลไปยังประเทศญี่ปุ่น มันถูกนำขึ้นมาตีเป็นดาบ “มูรามาแซะ” แต่ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ดาบเล่มนี้ได้ถูกนำมาเป็นมวลสาร (บ้านเราตามติดเทคโนโลยีนี้ในภายหลังในการทำ “จตุคามฯ”) ในการตีดาบซามูไรเพื่อใช้ในกองทัพญี่ปุ่น
เชื่อกันว่า มันทำให้ดาบซามูไรคมกริบ แข็งแกร่ง และทนทานเป็นยิ่งนัก เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่กองทัพญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะมีเงินมาก ด้วยอานุภาพของเงาดาบซามูไร (ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากเอ็กซ์คาริเบอร์) ก็ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไทยหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก แค่ทหารญี่ปุ่นทำท่าจะ “ชักดาบ” พ่อค้าปากตลาดก็ยินดีขายให้ในราคาแทบจะให้เปล่า
และนี่คือที่มาของคำว่า “ชักดาบ” ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ที่มา
http://www.bt-50.com/description.aspx?q_sec=32002158
เอิ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอบลบ555 คิดได้นะเนี่ย :)
ตอบลบอ๋อ 55
ตอบลบ5555 อย่างฮาเรยค่ะ ชอบๆ
ตอบลบอ๋อค่ะ
ตอบลบสรุปเอี๊ยก้วยเป็นบรรพชนของเอี้ยเหลิม นี่เอง
แต่ต้องรออ่านตอนต่อไปมังคะ
เอี้ยเหลิมไม่น่ามาจากเอี้ยสายนี้ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ ?
คาระวะเจ้าแม่
ตอบลบ