วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เฉลย...อาวุธพิเศษของ "สะล่าง" คือ......


 

 

รู้แล้ว !!!!!
อา
วุธพิเศษของ "สะล่าง"



 

          รู้แล้ว !!!!! 

          อาวุธพิเศษของ "สะล่าง" ที่จะใช้จัดการบุกยึดทำเนียบฯ คืนจากพันธมิตรฯ

          เมื่อคืนฟังจากเวทีพันธมิตรฯ คุณสำราญกับคุณอมรมาเล่าให้ฟังว่า อาวุธพิเศษที่ "สะล่าง" จะนำมาใช้นั้นคืออะไร

          แล้วมันคืออะไรรู้มั้ยพี่น้อง

          คาดไม่ถึงจริง ๆ บอกแล้วจะทึ่ง

          อาวุธนั้นคือ "ผู้ป่วยโรคเอดส์"

          "สะล่าง" จะพาผู้ป่วยโรคเอดส์มาถล่มพี่น้องเรา ประมาณว่าจะให้ผู้ป่วยโรคเอดส์ขู่เอาเข็มไล่จิ้มพี่น้องพันธมิตรฯ เราให้ติดเอดส์ (แบบที่เคยมีข่าวตามโรงหนังสมัยก่อน)

          กรรม !!!

          ดู ดู๊ ดูมันคิดไปได้

          ตอนแรกอิชั้นคิดเล่น ๆ ว่า อาวุธพิเศษของ "สะล่าง" อาจจะเป็น "แหไฟฟ้า" กระมัง มันอาจจะโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ เอาแหไฟฟ้าทอดลงไปจับพี่น้องเรา 

          แค่คิดก็ฮาบ้าแล้ว 

          แต่เออมันบ้าได้ใจกว่าอิชั้นอีก ใช้ "ผู้ป่วยโรคเอดส์" เป็นอาวุธ

          โชคดีที่หน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้นำผู้ป่วยมาปฏิบัติการดังกล่าว

          (เรื่องนี้จริงหรือไม่จริงไม่รู้นะ ฟังมาจากเวทีพันธมิตรฯ จ้า)




บ้า !!!!
ยืนยง โอภากุล








วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เปิดคำพิพากษาจำคุกแม้ว เซ็นให้เมียซื้อที่

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


เปิดคำพิพากษาจำคุกแม้ว
เซ็นให้เมียซื้อที่
ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
ไร้จริยธรรมทางการเมือง! 



โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๑๙:๔๐ น.


 


พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 



 
เปิดคำพิพากษาย่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก “ทักษิณ” ๒ ปี ฐานผิดกฎหมาย ป.ป.ช. โดยไม่รอลงอาญา เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี กลับฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งที่ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่ง
      
        คลิกที่นี่ เพื่อฟัง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฯ อ่านคำพิพากษา คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ
      
       วันนี้ (๒๑ ต.ค.) เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกจำนวน ๓๓ ไร่ มูลค่า ๗๗๒ ล้านบาทเศษ ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ ๑-๒ ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. ๒๕๒๔ ม.๔, ๑๐๐ และ ๑๒๒ ประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๓, ๘๓, ๘๖, ๙๑, ๑๕๒ และ ๑๕๗ ซึ่งท้ายคำฟ้อง อัยการสูงสุด ขอศาลมีคำสั่งให้ยึดที่ดินและเงินที่ซื้อที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย
      
       โดยศาลพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จำเลยที่ ๑-๒ โต้แย้งว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ ๓๐ เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ลงวันที่ ๓๐ ก.ย. ๔๙ ข้อ ๒ และข้อ ๕ และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔, ๑๐๐ และ ๑๒๒ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐, รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี ๒๕๔๙, รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ศาลเห็นว่า เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ ๕/๒๕๕๑ แล้วว่า ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน. ปี ๒๕๕๐ และมีคำวินิจฉัยที่ ๑๑/๒๕๕๑ ว่า ม.๔, ๑๐๐ และ ม.๑๒๒ ว่า ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนุญ ๒๕๕๐ ม.๒๖-๒๙ ม.๓๙ และ ๔๓ เช่นกัน องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
      
       มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ หรือไม่ ซึ่งที่จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าเมื่อประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ให้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ สิ้นสุดลงวันที่ ๑๙ ก.ย. ๔๙ มีผลทำให้ พ.ร.บ. ดังกล่าวสิ้นสุดลงตามไปด้วย โดยต่อมาวันที่ ๒๒ ก.ย. ๔๙ คปค. ได้ออกประกาศ คปค. ฉบับที่ ๑๙ ให้ พ.ร.บ. ดังกล่าวใช้บังคับต่อไป แต่การใช้บังคับก็ต้องเป็นเฉพาะกรณีที่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นตั่งแต่วันที่ ๒๒ ก.ย. ๔๙ เป็นต้นไปเท่านั้น ศาลเห็นว่า การทำรัฐประหารเป็นการยึดอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการมารวมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณะหนึ่งคณะใดใช้อำนาจนั้น แต่ไม่ได้เป็นการประสงค์ล้มล้างการใช้อำนาจแต่อย่างใด โดยเมื่อ คปค. ยึดอำนาจแล้วออกประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ที่ให้รัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง แต่ศาลอื่นยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีได้ จึงแสดงให้เห็นว่า กฎหมายที่ยังใช้อยู่ในขณะนั้นไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ดังนั้น แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.จะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ซึ่งตราขึ้นใช้โดยชอบแล้ว ดังนั้น ย่อมมีสถานะภาพเทียบเท่ากับกฎหมายทั่วไป ถือว่าไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและยังสามารถใช้บังคับใช้ได้ โดยไม่เกี่ยวว่ารัฐธรรมนูญจะมีอยู่หรือไม่ ดังนั้นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จึงไม่มีผลทำให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงด้วยแต่อย่างใด ส่วนที่ คปค. ออกประกาศฉบับที่ ๑๙ ให้ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ใช้บังคับต่อไปก็เป็นการยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้ถูกยกเลิก องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช.ยังมีผลบังคับใช้อยู่ไมได้ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓ ข้อโต้แย้งของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
      
       ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า คตส.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบไต่สวน และศาลฎีกาฯมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ๒๕๔๒ ม.๑๐๐ และ ๑๒๒ จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ได้มีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมาย คตส. ไม่ใช่พนักงานสอบสวนตาม ป. อาญา และไม่มีอำนาจสอบสวนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช.และจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ศาลเห็นว่า ก่อนการยึดอำนาจ ในการดำเนินคดีอาญาต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๙ ที่กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมือง แต่หลังการยึดอำนาจแล้วมีประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. แต่งตั้ง คตส. ซึ่งข้อ ๕ ของประกาศดังกล่าวให้ คตส. มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบสัญญา สัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่เห็นว่าอาจมิชอบด้วยกฎหมายหรือน่าจะมีการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบ หรือการตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยให้ คตส. มีอำนาจตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และข้อ ๙ ประกาศดังกล่าวกำหนดว่า กรณีที่ตรวจสอบแล้ว คตส. มีมติว่า มีบุคคลกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการให้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ การยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ดังนั้น สถานะภาพของ คตส. จึงมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบตามที่เป็นไปตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. ซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งแม้ คตส. ไม่ใช้พนักงานสอบสวนตาม ป. วิอาญา แต่ก็มีอำนาจสอบสวนได้ตามกฎหมาย
      
       ส่วนการไต่สวนจะเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ตามฟ้องโจทก์ ระบุว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดในการทำสัญญาจะซื้อจะขายกับกองทุน โดยโจทก์เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการที่จะป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดในการขัดประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของรัฐ โดยการทำสัญญากับรัฐ ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังอาจเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ การกระทำดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจที่ คตส. จะตรวจสอบตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. และประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓ ข้อ ๕ และตามฟ้องโจทก์ยังระบุว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.๑๕๒ และ ๑๕๗ และ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ ซึ่งจำเลยที่ ๒ แม้จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นคู่สมรส ศาลเห็นว่า ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง คตส. ข้อ ๕ วรรคท้าย ให้ คตส. มีอำนาจตรวจสอบเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานอื่นใด และศาลได้ความจากการไต่สวน นายวีระ สมความคิด ผู้ร้องทุกข์กับ คตส. พยานโจทก์ ว่า เคยร้องทุกข์เรื่องนี้กับกองบังคับการกองปราบปราม แต่ไม่เป็นผล เมื่อ คปค. ทำการยึดอำนาจและแต่งตั้ง คตส. พยานจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส. ขณะที่ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. พยานโจทก์เบิกความว่า คตส. ดำเนินการเรื่องนี้ตามที่มีผู้ร้องเรียนมา ซึ่งการดำเนินการของ คตส. เป็นการดำเนินการตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ข้อ ๕ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตามที่จำเลยทั้งสองโต้แย้ง ซึ่งหลังจากการไต่สวนแล้ว คตส. เห็นว่า มีมูลจึงแจ้งให้ผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๖๖ และทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ต่อมากองทุนฯ มีหนังสือกล่าวโทษแจ้งไปยัง คตส. ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุนฯ  เบิกความว่า การซื้อที่ดินอาจทำให้กองทุนได้รับความเสียหายจึงมีมติให้ยื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส. โดยเห็นว่า หากมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อาจทำให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโฆฆะ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า กองทุนฯ ไม่ได้รับความเสียหายนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอ.อาวุโสฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. ว่า เป็นเพียงความเห็นของพยาน ว่า เป็นการซื้อขายโดยเป็นธรรมและเปิดเผยและกองทุนฯได้กำไร ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการที่กองทุนฯ เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง กองทุนฯ จึงมีสิทธิยื่นร้องทุกข์ องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คตส .มีอำนาจตรวจสอบดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองและมีการร้องทุกข์โดยชอบถูกต้องตามกฎหมาย โดยศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ ม.๙ (๑) และ (๒)
      
       คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อนุ ๑ หรือไม่ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่ากองทุนฯ ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ และไม่ใช่เรื่องกันขัดกันของประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม ศาลเห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่ากองทุนฯ ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ นั้น ศาลเห็นว่า พ.ร.บ. ดังกล่าว ม.๔ ไม่ได้บัญญัติคำว่าหน่วยงานของรัฐไว้เป็นการเฉพาะ แต่ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ. ๒๕๔๒ ม.๓ ได้บัญญัติว่าหน่วยงานรัฐ คือ กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐดังนั้นซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์สอดคล้องกับ พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ในการป้องกันการใช้อำนาจรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และกฎหมายทั้งสองฉบับยังตราขึ้นในปีเดียวกัน ดังนั้นคำว่าหน่วยงานของรัฐจึงมีความหมายเป็นไปทำนองเดียวกัน ซึ่งจากการไต่สวนได้ความว่ากองทุนถูกตั้งขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตาม พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๕ ม.๒๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจดูแลและพิจารณาส่งเงินเข้าสนับสนุนเป็นครั้งๆ ดังนั้น องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ากองทุนฯเป็นหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ. ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๑๐๐ อนุ ๑
       
       ที่จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่กำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ นั้น ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.มีเจตนาป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐมีให้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแลของตน เพราะการมีอำนาจอาจส่งผลกระทบต่อการสั่งการและอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันระหว่างส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการปฎิบัติหน้าที่ได้ โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้ใช้บังคับกับตำแหน่งราชการทั่วไป แต่ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการระดับสูง โดยขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐมนตรีตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา และตาม พ.ร.บ. บริหารระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจบริหารราชการ ๓ ส่วน คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดย ม. ๑๑ กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปทั้ง ๓ ส่วนราชการ มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการทั้งในกระทรวง ทบวง กรม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย และ ม.๔๐ กำหนดให้แต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีกำหนดนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่ ครม.แถลงต่อรัฐสภา จึงมีอำนาจการบริหารเหนืออำนาจข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ขณะที่ ธปท.เป็นนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.ธปท.โดยกองทุนฯ ก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ฟื้นฟูสถาบันการเงินเหมือน ธปท.กองทุนฯจึงเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งแม้กรรมการจัดการกองทุน จะมีอิสระ แต่ก็มีผู้ว่าฯ ธปท.เป็นประธาน และปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานล้วนมีความเกี่ยวข้องที่จะให้คุณให้โทษได้ โดย รมว.คลัง ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าฯ ธปท.และอดีต รมว.คลัง เบิกความว่า กองทุนมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งในยุครัฐบาลของนายชวน หลีกภัย นั้น นายธารินทร์ นิมมาเหมินท์ รมว.คลัง ขณะนั้น ได้มีการเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอออกพันธบัตรจำนวน ๕ แสนล้านบาท เพื่อล้างหนี้ให้กองทุนฯ นอกจากนึ้พยานยังเคยเสนอรัฐบาลออกพันธบัตรจำนวน ๗.๘ แสนล้านบาทอีกด้วย ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เบิกความว่า เงินที่สนับสนุนกองทุนฯได้มาจากการอุดหนุนของรัฐบาล โดย รมว.คลัง มีอำนาจเข้ามากำกับดูแลผ่านปลัดกระทรวงการคลังที่เป็นรองประธานกรรมการจัดการกองทุนฯ โดย นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายไพโรจน์ เฮงสกุล นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ อดีต ผจก.กองทุน พยานโจทก์ต่างก็เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่า กองทุนฯจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ธปท.และเป็นการตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินว่าจะได้รับเงินคืนหากสถาบันการเงินเกิดปัญหาล้มละลาย ซึ่งจากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจกำกับดูแลกองทุนได้โดยผ่าน รมว.คลังตามลำดับชั้น ดังนั้นองค์คณะจึงมีมติ ๖ ต่อ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ ข้อต่อสู่ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
      
       มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่าการทำสัญญาซื้อขายของจำเลยที่ ๑ เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.๒๐๐ อนุ ๑ หรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวบัญญัติเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่รู้กันอย่างชัดแจงรวมทั้งจำเลยที่ ๑ และเหตุที่ต้องมีการตั้งกองทุนฯเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ หากปล่อยให้สถาบันการเงินล้มจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจประเทศชาติเสียหาย จึงจำเป็นต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือ อาทิ นำเงินไปซื้อที่ดินหรือทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริงเพื่อให้สถาบันการเงินได้กำไร นำเงินไปชำระหนี้ ให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งที่ดินพิพาทคดีนี้กองทุนฯ ซื้อมาจากบ.เงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน ๑๓ โฉนด เนื้อที่ ๓๕ ไร่เศษ มูลค่า ๒,๑๔๐ ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรม มูลค่า ๒,๗๔๙ ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤตสถาบันการเงินปี ๓๘ ต่อมาปี ๔๔ กองทุนฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่องโดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ ๗๐๐ กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนมีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง โดยต่อมากองทุนฯ นำที่ดินออกประมูลทางอินเตอร์เน็ตตั้งราคาขั้นต่ำ ๘๗๐ ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ ๑๐ ล้าน มีผู้เสนอตัวแต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงเลิกประมูลเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น ๑๐๐ ล้านบาท อันเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง จำเลยที่ ๒ เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก ๒ บริษัท คือ บ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และบ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอแต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา ซึ่งแม้กองทุนฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ ๒ เสนอ ๗๗๒ ล้านบาท เป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ ๑ เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูงอีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลนายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อเพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ ๒ มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้น ยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้
      
       เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ ได้ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาซื้อขายที่ดินย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ. ปปช. ๒๕๔๒ ม.๑๐๐(๑) วรรคสาม ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าการลงชื่อยินยอมเป็นเพียงทำตามระเบียบราชการ แต่จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการซื้อขาย องค์คณะจึงมีมติ ๕ ต่อ ๔ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ปปช.ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม และต้องรับโทษตาม ม.๑๒๒ ขอต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
      
       ส่วนจำเลยที่ ๒ องค์คณะมีมติ ๗ ต่อ ๒ เห็นว่า ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ปปช.ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม ไม่ต้องรับโทษตาม ม.๑๒๒ เพราะ พ.ร.บ. ปปช. ม.๑๐๐ ไม่ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับคู่สมรสที่กระทำความผิด มีแต่บทลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามหลักกฎหมายอาญาเมื่อมีกฎหมายให้ลงโทษศาลจึงไม่อาจลงโทษได้
      
       สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๕๒, ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและผู้สนับสนุนเข้ามีส่วนได้เสียกับหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ตน องค์คณะ ๘ ต่อ ๑ เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิด เพราะการกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ดูแลกองทุนฯ แต่จำเลยได้ดำเนินการในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ ๒ ให้ความยินยอมทำสัญญาซื้อขายที่ดินอันผิดต่อ พ.ร.บ.ปปช. จึงไม่ผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๕๒ ม.๑๕๗
       
       เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิด จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
      
       ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดินและเงินซื้อที่ดินจำนวน ๗๗๒ ล้านบาท องค์คณะมีมติ ๗ ต่อ ๒ เห็นว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงมิใช่ทรัพย์อันพึงริบตามประมวลฎหมายอาญา ม.๓๓(๑) (๒) ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ ๑ กลับฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งจึงไม่สมควรรอการลงโทษ
      
       พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ปปช. ม.๑๐๐ (๑) วรรคสาม และ ม.๑๒๒ วรรคหนึ่งให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ส่วนความผิดฐานอื่นและคำขออื่นให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ ๑ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ ๑ เพื่อมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป ส่วนจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้องจึงให้เพิกถอนหมายจับเฉพาะคดีนี้


 



ที่มา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000125244



 
 

ฉลองกันหน่อยพี่น้อง ง ง ง ง ง ง ง ง

 














ฉลองกันหน่อยจ้าพี่น้อง





 

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

มือมืดป่วน ! ปาบึ้มบ้านประธานศาลปกครอง

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


ไอ้โม่งขว้างประทัดยักษ์
ใส่บ้าน ปธ. ศาลปกครอง


[๒๑ ต.ค. ๕๑ - ๐๒:๔๓]
 



       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศยังคงวุ่นวาย ได้เกิดเหตุไอ้โม่งสร้างความปั่นป่วนด้วยการโยนประทัดยักษ์เข้าไปภายในบ้านพักของประธานศาลปกครอง เมื่อช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา (๒๑ ต.ค.)



       โดย พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ ๖/๔๘, ๖/๑๓๖, ๖/๑๔๐ ภายในซอยลาดพร้าว ๒๕ แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครอง หลังจากได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายโยนประทัดยักษ์เข้าไปในบ้าน



       จากการตรวจสอบพบว่าบริเวณทางเดินสู่ตัวบ้าน ข้างสวนหย่อม มีเศษประทัดตกอยู่ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น เบื้องต้นสันนิษฐานเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง


 


ที่มา
http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=108385


 


 


มือมืด! โยนประทัดยักษ์
ใส่บ้าน "อักขราทร"
ปธ. ศาลปกครอง


๐๒:๕๗ น.



       ช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ ๖/๔๘, ๖/๑๓๖, ๖/๑๔๐ ภายในซอยลาดพร้าว ๒๕ แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครอง หลังจากได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายโยนประทัดยักษ์เข้าไปในบ้าน โดยจากการตรวจสอบพบว่าบริเวณทางเดินสู่ตัวบ้าน ข้างสวนหย่อม มีเศษประทัดตกอยู่ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น เบื้องต้นสันนิษฐานเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง 


 


ที่มา
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?lang=T&newsid=345061


 


 


 


มือมืดป่วน ! ปาบึ้ม
บ้านประธานศาลปกครอง
 


โดย...ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์
๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๐๓:๐๖ น. 
 
 


นายอักขราทร จุฬารัตน
ประธานศาลปกครองสูงสุด



เกิดเหตุไม่คาดฝันกลางดึกเมื่อบ้านพักประมุขศาลปกครอง " อักขราทร จุฬารัตน" ถูกมือมืด ปาระเบิดใส่ โชคดีไม่มีคนเจ็บ ตำรวจคาด แค่สร้างสถานการณ์ พร้อมสั่งชุดสืบสวนเร่งล่า พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั่วพื้นที่เผื่อจับภาพได้
      
       วันนี้ (๒๑ ต.ค.) เมื่อเวลา ๐๑.๐๐ น. พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน เขาตรวจสอบบ้านพักของ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ภายในซอยลาดพร้าว ๒๕ แขวงลาดพร้าว เขตจตุจักร หลังรับแจ้งได้ยินเสียงระเบิดภายในบ้าน พร้อมประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น โดยมี พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. ร่วมตรวจสอบ
      
       ที่เกิดเหตุภายในบ้านเลขที่ ๖/๔๘, ๖/๑๓๖ และ ๖/๑๔๐ ซอยลาดพร้าว ๒๕ ห่างจากรั้วด้านหน้าเข้าไปภายในบ้านประมาณ ๔ เมตร พบหลุมคล้ายเกิดจากแรงระเบิดกว้างประมาณ ๑๐ เซนติเมตร แรงระเบิดทำให้ตนไม้ที่ปลูกอยุ่ริมรั้วได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย และจากการตรวจสอบโดยรอบไม่พบเศษชิ้นส่วนที่เป็นระเบิด หรือสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด
      
       พ.ต.อ.อาคม กล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุ มีผู้อยู่ในบ้านแต่นายอักขราทรไม่อยู่บ้านเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ ขับออกไปจากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเกิดจากแรงระเบิดหรือประทัดยักษ์ เนื่องจากในที่เกิดเหตุไม่มีสะเก็ด หรือเศษประทัดแต่อย่างใด แต่มีเพียงเสียงเท่านั้น
      
       พ.ต.อ.อาคม กล่าวต่อว่า เหตุที่เกิดขึ้นคาดว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์เท่านั้นไม่ได้มุ่งหวังทำร้ายร่างกายเพราะเบื้องต้นทราบว่าเป็นชนิดแรงดันต่ำซึ่งขณะนี้ได้สั่งการชุดสืบสนเร่งติดตามคนร้าย และจะดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่รอบบริเวณว่าสามารถจับภาพคนร้ายได้หรือไม่


 


ที่มา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000124811
 
 
 

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"พื้นที่ทับซ้อน" (ทางใจ) กับ (ใครบาง) "คนที่แสนดี"

 

 

      ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน....มันดูเหมือนดังนิยาย
      วันที่ผ่านพ้นไปดูราวเหมือนฝัน
      เรื่องราวดีดีทุกอย่างที่เคยมีวันนั้น
      ทุกเวลานาทีช่างมีความหมาย

      เธอคงไม่รู้ว่าตัวฉันเอง....ยังคงฝังใจมานาน
      ตั้งแต่เราเลิกกันเธอเคยรู้ไหม
      อะไรมากมายหลายอย่างที่เธอเคยทำไว้
      ฉันไม่เคยจะลืมได้ซักที

      ก่อนนอนเธอเคยจับมือ....ร่วมเรียงอยู่เคียงหมอน
      วางแขนให้ฉันแนบหนุนนอนฝันดี
      ตื่นมาเคยเจอกับเธอ อยู่กับฉันทุกทุกที
      ฉันยังจำได้ดีว่ามีวันนั้น

      ตั้งแต่วันแรกที่เรารักกัน....จนเป็นแค่ความทรงจำ
      เธอก็ยังสวยงามในใจของฉัน
      ไม่เคยลืมความรู้สึกอบอุ่นละมุนอ่อนหวาน
      เมื่อครั้งมี “ใครบางคนที่แสนดี”

      ขอบคุณวันคืนแสนสุข....ที่เธอมีให้ฉัน
      เก็บไว้เป็น “ความทรงจำที่แสนดี”

     

      เพลง...คนที่แสนดี
      ต้นฉบับ...นันทิดา แก้วบัวสาย
      ฉบับนี้..."คุณหวานเจี๊ยบ" ขอร้อง


 

 

 

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฮาฮา...ตำนาน “ดาบเอ็กซ์คาริเบอร์” ของกษัตริย์อาเธอร์

Rating:★★★
Category:Other

 


 



 


มาพักฟังเรื่องฮา ๆ กันบ้างดีกว่า
พักนี้เห็นพี่น้องเราเครียด ๆ กันจัง
(ข้าพเจ้าด้วยแหละ)


 


 




ตำนาน ดาบเอ็กซ์คาริเบอร์ของกษัตริย์อาเธอร์



       
ทุกท่านคงรู้จัก หรืออย่างน้อยก็น่าจะเคยคุ้นหูกับตำนาน
ดาบเอ็กซ์คาริเบอร์ ของกษัตริย์อาเธอร์กันมาบ้าง วันนี้ผมมีความยินดีจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับดาบเอ็กซ์คาริเบอร์ในหลาย ๆ เรื่องที่ทุกท่านอาจไม่รู้ หรือรู้ แต่ก็คงคาดไม่ถึง 

        ข้อมูลเหล่านี้ ผมได้ใช้เวลาศึกษามาเป็นเวลาแรมเดือน รับรองว่า สนุกสุด ๆ

        พระเจ้าอาเธอร์ กำเนิดเป็นสามัญชนธรรมดา แต่มีบุญบารมี สามารถดึงดาบวิเศษที่ปักอยู่ในหินออกมาได้ ดาบเล่มนี้ใครก็ตามที่สามารถดึงออกมาได้จะได้เป็นกษัตริย์ (บ้างก็เล่าว่าดาบในหินนี้เป็นของกษัตริย์แม็กซิมัส) ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า ดาบแห่งอังกฤษ (Sword of Britain) แต่บางตำนานก็เล่าว่าพระองค์ได้ดาบนี้มาจากเทพธิดาแห่งทะเลสาบ

       
หลังการตายของกษัตริย์อาเธอร์ เทพธิดาแห่งทะเลสาบได้มารับกลับไป และเพื่อป้องกันดาบวิเศษเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนชั่ว ดาบจึงถูกหลอมเหลวอยู่ในรูปของเหล็กไหล และมันได้เคลื่อนตัวไปตามรอยแยกของเปลือกโลก กระจายไปยังทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก 

        ส่วนหนึ่งนั้น ตามหลักฐานที่ได้ มันได้ไหลไปยังประเทศจีน
ต๊กโกวคิวป่าย ได้โลหะส่วนนี้ไป และได้นำไปตีขึ้นเป็นดาบแท่งสีดำทะมึน ซึ่งต่อมาดาบเล่มนี้ได้ตกไปอยู่ในมือจอมยุทธ์ เอี้ยก้วย

        หลังจากจอมยุทธ์เอี้ยได้หนีความวุ่นวายในยุทธภพ ดาบได้ถูกนำไปหลอมใหม่กลายเป็น
กระบี่อิงฟ้า กับ ดาบฆ่ามังกร ในยุคสมัยของ เตียบ่อกี้

       
ส่วนลูกหลานของเอี้ยก้วย เชื่อกันว่า ได้มาปรากฏตัวยังแผ่นดินสยาม ลูกหลานรุ่นปัจจุบัน ได้แก่ เอี้ยเหลิม เป็นต้น

       
โลหะอีกส่วนหนึ่งถูกขุนศึกในสมัยอยุธยาของไทยจับได้ เขาได้นำไปรวมกับตะปูเจ็ดป่าช้า แล้วตีมันขึ้นมาพร้อมกับตั้งชื่อว่า ดาบฟ้าฟื้น 

        ใช่แล้วครับ ขุนศึกผู้นี้ก็คือ
ขุนแผนแสนสะท้าน นั่นเอง 

        และเนื่องจากขุนแผนไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี มีสัมพันธ์สวาทกับหญิงสาวหลายคน สุดท้ายดาบเล่มนี้ก็ต้องคืนสู่ท้องน้ำอีกครา

        แต่อิทธิฤทธิ์ของดาบเล่มนี้เกรียงไกรมาก และส่งผลมาถึงยุคปัจจุบัน
(เกี่ยวกันไง ติดตามต่อไปครับ)

       
โลหะอีกส่วนไหลไปยังประเทศญี่ปุ่น มันถูกนำขึ้นมาตีเป็นดาบ มูรามาแซะ แต่ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ดาบเล่มนี้ได้ถูกนำมาเป็นมวลสาร (บ้านเราตามติดเทคโนโลยีนี้ในภายหลังในการทำ จตุคามฯ) ในการตีดาบซามูไรเพื่อใช้ในกองทัพญี่ปุ่น

        เชื่อกันว่า มันทำให้ดาบซามูไรคมกริบ แข็งแกร่ง และทนทานเป็นยิ่งนัก


       
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเดินทางผ่านประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่กองทัพญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะมีเงินมาก ด้วยอานุภาพของเงาดาบซามูไร (ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากเอ็กซ์คาริเบอร์) ก็ทำให้พ่อค้าแม่ค้าไทยหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก แค่ทหารญี่ปุ่นทำท่าจะ ชักดาบ พ่อค้าปากตลาดก็ยินดีขายให้ในราคาแทบจะให้เปล่า 

        และนี่คือที่มาของคำว่า
ชักดาบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน





 


 


ที่มา
http://www.bt-50.com/description.aspx?q_sec=32002158


 


 




 

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"ฟ้ามีตา" (แต่หามีแววไม่) นะ "คนดี"




 
“ฟ้ามีตา”
(แต่หามีแววไม่) นะ “คนดี”



        ยามที่เหน็ดเหนื่อยทุกข์ท้อจากการทำความดี

        ยามที่ผิดหวังจากการทำดีแล้วไม่ได้ดี ซ้ำยังถูก “หักหลัง” ให้โดนก่นด่าซ้ำเติมจากคนรอบข้างและสังคม

        ยามที่เจ็บปวดจากการทำความดี

        ยามที่ท้อแท้ อ่อนล้า อ่อนใจ กับการจะทำความดีต่อไป

        คำปลอบโยนที่ได้รับมักจะเป็นว่า เอาเถิดน่า ใครไม่เห็นแต่ฟ้าดินเห็น ใครไม่รู้ แต่ฟ้าดินรู้....ฟ้ามีตา



        “ ฟ้ า มี ต า ”



        อดทนต่อไปนะ “คนดี”

        กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันเชื่อแล้วว่า ฟ้ามีตา

        หาก “ฟ้ามีตา แต่หามีแววไม่”


 



 

.................................................
เพลง.....คนดี
เนื้อเพลง.....เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ร้องและบรรเลงโดย.....คีตาญชลี
.................................................

ฟ้ า ห ม อ ง
แผ่นดินร่ำร้องระงม
สองมือชูชัยไขว่คว้าเพียงลม
ไขว่คว้าเพียงลมผ่าวลมแล้งลอย

เ วิ้ ง ฟ้ า
ทุ่งนาป่าเขาดงดอย
เขายังคงคอยไขว่คว้างยังคอย
กับสายลมลอยลับลอยไปไกล

เ ธ อ ม า
ท่ามกลางพายุปะทุเกลื่อนภัย
เพียงสองมือเราจับ
มือช่วยฉุด
มือร่วมฝ่าไป
ก้าวไปให้แรง

ค น ดี
จะมีทุกหนทุกแห่ง
หนทางยาวไกลโหดร้ายรุนแรง
โลกนี้มีแรงเพราะแรง “คนดี”
 



 

 

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"หน้าที่เรา...ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน"...ด้วยจิตคารวะ "น้องโบว์" และ "สารวัตรจ๊าบ"

 

 

     


คนมีชีวิตและกายา
ถือกำเนิดเกิดมา เป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย
ผู้มีพระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่าสิ่งใดก็คือ...แผ่นดิน


บุญคุณยิ่งใหญ่นานเนา
หน้าที่เรา...ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน

 



คนมีชีวิตและกายา
ถือกำเนิดเกิดมา เป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย
ผู้มีพระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่าสิ่งใดก็คือ
...แผ่นดิน

เป็นแดนที่ให้ชีวา
พึ่งพาอาศัยและอยู่กิน
คุณใดจะเปรียบแผ่นดิน
เอื้อชีวินจากวันที่เกิดจนตาย

ยามใดความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือนความทุกข์เยือนเรือนกาย
หากเรือนของเรามีทุกข์กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา

ยามดีเราดีตาม
ในยามมีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณยิ่งใหญ่นานเนา
หน้าที่เรา
...ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน

หน้าที่เรา...ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน


 

 สี่แผ่นดิน
เพลงจากละครทีวีเรื่อง
สี่แผ่นดิน

 

ด้วยจิตคารวะ น้องโบว์ และ สารวัตรจ๊าบ
เดินทางล่วงหน้าไปก่อนนะคะ
อีกไม่นาน........

 

 

 

 

 

ศาลปกครองคุ้มครอง...ห้ามสลายชุมนุมรุนแรง-เถื่อนถ่อย

Rating:★★★★★
Category:Other



ตบหน้าทรราช !

ศาล ปค. คุ้มครอง
ห้าม
สลายชุมนุมรุนแรง-เถื่อนถ่อย




โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๑๙:๑๙ น.


 

ศาลปกครองมีคำสั่งให้คุ้มครอง การสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ให้ยึดตามหลักสากล และให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบังคับบัญชา จนท. ตร. ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาล พร้อมให้นายกฯ ใช้อำนาจหน้าที่ดำเนินการให้ สตช. ปฏิบัติตามมาตรการ หรือวิธีการคุ้มครองชั่วคราวตามคำสั่งศาล จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ ๗ ต.ค.กล่าวว่า ตนพร้อมผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน ๖ คน ได้เดินทางมายังศาลปกครอง ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง พร้อมด้วยนายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา และ น.ส. รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กทม. ที่เป็นผู้ร้องร่วมด้วย โดยฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ. พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า ให้ยุติการใช้กำลังในการเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเหมือนอย่างที่หน้ารัฐสภาอีกนั้น หลังจากที่ตุลาการได้ทำการไต่สวนฉุกเฉินตามคำร้องของผู้ถูกร้องไปเมื่อวันที่ (๘ ต.ค.) นั้น
      
       นายนิติธร เปิดเผยว่า เมื่อเวลา ๑๘.๔๐ น. วันนี้ (๙ ต.ค.) ตุลาการศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้กำหนดมาตรการ หรือวิธีการคุ้มครองให้ผู้ฟ้องคดีที่หก โดยมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหากจะกระทำการใด ๆ ต่อผู้เข้าร่วมชุมนุม ต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความเหมาะสม มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล ที่ใช้ในการสลายการชุมนุมของประชาชน
และให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาล และให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจหน้าที่ของตนดำเนินการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิบัติตามมาตรการ หรือวิธีการคุ้มครองชั่วคราว ตามคำสั่งศาล จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น


 


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000120317



 


 


 


 

หลักฐานมาแล้ว...คลิปวิดีโอตำรวจตั้งท่าเล็งปืนไปที่พี่น้องพันธมิตรฯ

Rating:★★★★★
Category:Other

 



ดูจะจะ
“ตร.โจร” เล็งปืนใส่พันธมิตรฯ
“สุรพล” แหล!! ไม่ใช่ตำรวจ
 



โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๑๘:๐๒ น. 
 
 





 


       ภาพวิดีโอ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังใช้อาวุธปืนสั้นเล็งไปทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระหว่างการสลายการชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่มีผู้นำไปโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูบ (youtube) และบล็อกของโอเคเนชั่น(http://www.oknation.net/blog/tyty1789/2008/10/08/entry-1) โดยภาพดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งได้เล็งปืนไปทางผู้ชุมนุม ซึ่งอาจจะมีการลั่นกระสุนไปก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนหนึ่งเดินมาบอกให้หยุด
      
       ด้าน พล.ต.ต. สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีภาพชายปริศนาตั้งท่ายิงปืนใส่กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ที่ผ่านมา ยืนยันว่า ไม่ใช่ตำรวจ ส่วนจะเป็นบุคคลใด คณะกรรมการสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล จะรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป


 


       


 


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000120266


 


 


 

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"ส่องทางเรื่อยไป ตั้งใจอุทิศ แม้จะน้อยนิด มากมีคุณค่า" - แด่..."น้องโบว์" และพี่น้องพันธมิตรฯ ผู้กล้า



 

 ดวงเทียนดับไป
มองไม่เห็นทาง
หิ่งห้อยกลุ่มน้อยบินมานำพา

ส่องทางเรื่อยไป ตั้งใจอุทิศ
แม้จะน้อยนิด มากมีคุณค่า
ทางที่แสนยาก ลำบากนานา
หิ่งห้อยดับแสง หมดแรงนำทาง

เหลือเพียง....แสงธูปดอกสุดท้าย
ส่องทางเดินไปไม่ไหวหวั่น

 

เดินคนเดียว เดินไปไม่เห็นเส้นทาง
มีขวากหนามกั้นขวางเส้นทางเอาไว้
กลับหลังคืนมา คืนมาหาเส้นทางใหม่
หมุนคว้างไป แต่หัวใจยังมั่น

สุดท้ายปลายทาง หวาดหวั่น สั่นเสียว
เดินคนเดียว จุดเทียนส่องทางไม่หวั่น
ดวงดาวดาราสาดแสงลามานับพัน
มีแหล่งปัญญาแบ่งปันมาตลอดทาง

ยังมีเสือ มูสัง ขวางเส้นทางไว้
ลำน้ำใหญ่ตะเข้นอนฟาดหาง
ดวงเทียนดับไป มองไม่เห็นทาง
หิ่งห้อยกลุ่มน้อยบินมานำพา

ส่องทางเรื่อยไป ตั้งใจอุทิศ
แม้จะน้อยนิด มากมีคุณค่า
ทางที่แสนยาก ลำบากนานา
หิ่งห้อยดับแสง หมดแรงนำทาง

เหลือเพียง....แสงธูปดอกสุดท้าย
ส่องทางเดินไปไม่ไหวหวั่น



เพลง.....
ธูปดอกสุดท้าย
คำร้องโดย.....ป้าลม
คู่ชีวิตของ ลุงไฟ หรือ 
นายผี อัศนี พลจันทร์
คุณหวานเจี๊ยบ...ขอร้องให้พี่น้องพันธมิตรฯ ผู้กล้าทุกคน

 

 

 

 

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

๑๐.๐๐ น. จะมีการสลายการชุมนุมอีกครั้ง

Rating:★★★★★
Category:Other





"พล.อ. ปฐมพงษ์ เปิดเผยว่า
ตนได้ข่าวกรองแจ้งว่า

ในเวลา ๑๐.๐๐ น.
จะมีการสลายการชุมนุมอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตนจะอยู่เคียงข้างประชาชน เป็นไงเป็นกัน"




ที่มา :
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000118771


 


 

ผลงาน "แก๊สน้ำตา" ที่ภูมิใจเสนอ "พ่อมัน"

Rating:★★★★★
Category:Other

 





ผลงาน "แก๊สน้ำตา"
ของพวก "จระเข้จิ๋ว"
คงถูกใจ "พ่อมัน" ที่ลอนดอน


 


 


 


 


สลด! ตร.คลั่ง
ใช้อาวุธหนักยิงใส่ “พันธมิตรฯ”
ขาขาด-บาดเจ็บอื้อ!
 
 


เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (๗ ต.ค.) เกิดเหตุสุดสลด หลัง “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ลุแก่อำนาจยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนจริงใส่ประชาชนสองมือเปล่าที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการต่อต้านการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่บริเวณหน้ารัฐสภา ส่งผลให้ผู้ชุมนุม “ขาขาด” และบาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนมาก เหตุเพราะโดนสะเก็ดระเบิดอันเกิดจากกระสุนที่ตำรวจเป็นผู้ยัดเยียดให้ประชาชน
      
       สำหรับผู้บาดเจ็บขาขาดซึ่งนำส่งรักษาที่ ร.พ.วชิระ ทราบชื่อเบื้องต้น นายธัญญา คูณแก้ว อายุประมาณ ๓๐ ปี โดยที่บริเวณขาซ้ายกระดูกแตกละเอียด แพทย์ไม่สามารถทำการรักษาได้ จึงจำเป็นต้องตัดขาตั้งแต่เข่าลงไป
      
       ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นนำส่งรักษาที่ ร.พ. วชิระ ประมาณ ๔๑ คน ร.พ. รามา ๒๒ คน
       
       นอกจากนี้ มีผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อคือ นายกิตตินนท์ แก่นสาร ผู้สื่อข่าว จส. ๑๐๐ ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแผลแหวอะที่ด้านหลัง คาดว่าจะถูกระเบิดปิงปอง


 


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๐๘:๓๘ น.
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000118764


 


 


 

ด่วน! ตร.ยิงแก๊สน้ำตาเบิกทาง ลุยสลายหน้าสภา ปชช. เจ็บอื้อ

Rating:★★★★★
Category:Other













ด่วน !
ตร. ยิงแก๊สน้ำตาเบิกทาง
ลุยสลายหน้าสภา ปชช. เจ็บอื้อ


 


โดย ผู้จัดการออนไลน์
๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ๐๖:๓๒ น.


 





 


ผู้จัดการออนไลน์ – ตำรวจลอบยิงแก๊สน้ำตาหลายสิบลูกใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา ผู้กลุ่มชุมนุมสุดเดือด ฮึ่มปักหลักแน่นไม่ยอมให้สลายการชุมนุม บาดเจ็บอื้อ สาหัสแล้ว ๓ ราย แพร่ภาพมีขาขาดแล้ว ๑ ราย พปช.ไม่สนหลั่งเลือดประชาชน เดินหน้าประชุมสภารับรัฐบาลแถลงนโยบาย
       
       เมื่อเวลาประมาณ ๐๖.๒๐ น. บริเวณ ถ.ราชวิถี และหน้าสวนสัตว์ดุสิต ได้มีการสั่งการให้ตำรวจปราบจลาจลยิงแก๊สน้ำตา และใช้กำลังเจ้าหน้าที่หลายร้อยนายจู่โจม เพื่อหวังสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาสามารถเข้าประตูด้านข้างของรัฐสภา อย่างไรก็ตามด้านหน้ารัฐสภายังมีผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่หลายพันคน ทำให้ผู้ชุมนุมต่างต้องหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำขึ้นมาปิดหน้า
       

       
ขณะเดียวกันก็มีการลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บขึ้นรถ ผ่านด้านหน้าสภา ออกไปทางด้านลานพระบรมรูปทรงม้า อย่างไรก็ตาม นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยรุ่น ๒ ได้ยืนยันว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะ ขณะที่นายสาวิทย์ แก้วหวาน แกนนำรุ่น ๒ อีกคนได้ให้สัมภาษณ์กับ สถานีโทรทัศน์สีช่อง ๓ ว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้รับการเจรจาหรือประสานจากรัฐบาลก่อนการเข้าสลายแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้หลังจากที่เปิดประตูด้านข้างรัฐสภาได้แล้ว ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจลหลายกองร้อยได้เข้าไปอยู่ในบริเวณภายในพื้นที่รัฐสภาแล้ว ขณะเดียวกันบริเวณ ถ.พิชัย หน้าพรรคชาติไทยได้มีการวางเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ประมาณ ๔๐๐ นาย เพื่อดักกลุ่มผู้ชุมนุม
       
       สำหรับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บมีการแจ้งว่ามีการนำตัวส่งไปที่ รพ.วชิรพยาบาล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ ว่า หน้าที่ประชุมสภา เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการประชุมก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่แล้ว แม้ว่าบรรยากาศจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ถึงขณะนี้ไม่มีการติดต่อจากนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ให้ย้ายที่ประชุมสภาแต่อย่างใด
       
       “เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้ ก็มีประชาชนไม่พอใจกลุ่มผู้ชุมนุมเยอะแยะนะครับ เราคนไทยด้วยกัน บ้านเมืองก็กำลังจะเกิด ส.ส.ร.๓ (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี” รองโฆษกพรรคพลังประชาชนกล่าว
       
       ล่าสุดเมื่อเวลา ๐๗.๐๐ น. จากการรายงานของสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า จากข้อมูลของวิทยุตำรวจมีรายงานแล้วว่า ณ ปัจจุบันมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ๓ รายด้วยกัน ขณะที่ช่อง ๓ ได้มีการเผยแพร่ภาพว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนมาที่มีแผลไฟไหม้ ขณะเดียวกันก็มีผู้ชุมนุมคนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาอย่างหนักโดยภาพที่ออกมาผู้สื่อข่าวระบุว่าผู้ชุมนุมถึงกับขาขาดเลยทีเดียว
       
       อนึ่ง พล.อ. ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ นายทหารกองทัพบกได้เข้าพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ทว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามผลักดัน พล.อ. ปฐมพงษ์โดยไม่สนใจ


 


 


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?
NewsID=9510000118755




 


 







วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วั น ค อ ย . . . "วันตายนั่นแหละวันลืม"

 

 

 

 

 

 

วันคอย

ยอดรัก...จงมองที่ขอบฟ้า
โอบ ๆ โค้งลงมา นั้นคืออ้อมกอดจากฉัน
ยามเมื่อเราไกลกัน
เธอฉันดังอยู่เคลียไคล้

ยอดรัก...สายลมแผ่วละมุน
นั่นคือสายลมอุ่น ฉันพรมมาและจูบลูบไล้
เธอรู้บ้างหรือไม่
รักใครไม่เท่าเทียมฉัน

คืนวัน...จะผันแปรเปลี่ยนไป
แต่ใจฉันไม่อาจเปลี่ยนเวียนผัน
ซื่อตรง จงรักจนนิรันดร์
หากลืมฉัน ฉันคงต้องกลั้นใจตาย

ยอดรัก...การจากทั้งผูกพัน
ย่อมจะคิดถึงกัน เร่งวันคืนกลับเคียงกาย
ครองรักไม่รู้หน่าย
วันตายนั่นแหละวันลืม



ต้นฉบับ....ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา
ฉบับนี้...."คุณหวานเจี๊ยบ" ร้องเอง
 

 

 

 

 

 

 

 

วันคอย
วันตายนั่นแหละวันลืม

 

 

 

        ใครคนหนึ่งเคยถามฉันว่า ฉันกับเขาใครจะตายก่อนกัน

        แล้วเขาก็ชิงตอบว่า เขาขอตายก่อน เพราะเขาคงทนไม่ได้ที่จะเห็นฉันตาย หรือต้องเป็นคนจัดงานศพให้ฉัน

        เขายังบอกว่า เมื่อเขาตายแล้ว เขาจะคอยมองฉันลงมาจากข้างบน
พร้อมกับแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า


       
ตอนที่ได้ฟัง ฉันก็คิดว่าเขาคงพูดเล่น ๆ ตามประสาคนทำงานศิลปะที่อารมณ์อ่อนไหว แต่หลังจากวันนั้นไม่นาน ฉันก็ได้รับข่าวว่า เขาตายแล้ว เขาฆ่าตัวตาย

        ฉันเคยรู้มาว่า เขาพยายามทำแบบนี้มาหลายครั้ง ประมาณสี่ห้าครั้ง แล้วไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้เขาทำสำเร็จ
เขาไปแล้วจริง ๆ


       
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงในชีวิตฉันที่เกิดขึ้นราวสิบปีได้ จนฉันค่อย ๆ จะลืมเลือนความทุกข์จากการพลัดพรากจากกันไป แม้จะจำติดใจ

        คงเป็นเพราะความตายของพ่อ ที่ทำให้ฉันหวนนึกถึงความตายของเขาคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง


       
พ่อจากไปเพราะสังขารที่เสื่อมโทรมผุพังไปตามกฎธรรมชาติ แต่เขาคนนั้นจากไปเพราะความอ่อนไหว อ่อนแอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลก แต่กลับเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว กล้าที่จะปลิดชีวิตตัวเอง

        หลายปีที่ผ่านมา ฉันชอบอยู่กับการเจริญมรณานุสสติ พิจารณาความตาย จนรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาโลก 

        แต่กลับเป็นเรื่องน่าแปลกที่หลังจากนั้น ฉันมักมีโอกาสได้พบเห็นคนตายจากการฆ่าตัวตายบ่อย ๆ บางคนก็กำลังจะฆ่าตัวตาย หรือคิดจะฆ่าตัวตาย ซึ่งฉันก็ได้ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อยู่หลายครั้งหลายคน

        ฉันเคยบาดเจ็บจากการช่วยคนที่กำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฉันเคยปวดหัวแทบตาย เพราะต้องพูดคุยเกลี้ยกล่อมปรับทุกข์รับฟังเรื่องของคนทุกข์ที่คิดจะฆ่าตัวตายเป็นชั่วโมง ๆ แต่ฉันไม่เคยเบื่อหรือรำคาญพวกเขา เพราะฉันเจอมากับตัวเองแล้วว่า เสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นกับความตายมันใกล้กันนิดเดียวจริง ๆ
 


        ฉันขอเพียงให้พวกเขาผ่านมันไปให้ได้


 
        ฉันอยากเห็นทุกคนอำลาโลกนี้ไปอย่างสงบ ค่อย ๆ ดับสังขารที่เสื่อมโทรมผุพังไปตามกาลเวลาคืนธาตุขันธ์ให้กับโลกอย่างพ่อ ไม่อยากเห็นใครจากไปด้วยการทำร้ายทำลายตัวเอง



        ฉันไม่อยากเห็นใครด่วนจากไป....
      เพียงเพื่อจะคอยมองฉันลงมาจากฟากฟ้าอีกแล้ว