Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
ภาพจาก...www.geocities.com/phrasomdej
จุดไต้กลางวัน
ครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จฯ โตรู้ว่ารัชกาลที่ ๔ ทรงหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ ท่านปรารถนาจะตักเตือนให้รู้สึกพระองค์ ครั้นจะทูลเตือนโดยตรงก็เกรงพระทัย จึงจุดไต้เดินถือเข้าไปในพระราชวังกลางวันแสก ๆ นี่แหละ เพื่อจะเตือนให้รู้ว่า ในวังกำลังจะมืดมัว ไม่มีกลางวัน ไม่มีแสงสว่างแห่งปัญญา
พระจอมเกล้าทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงตรัสตอบว่า
“ขรัวโต ข้ารู้แล้ว ๆ”
สมเด็จฯ โตจึงเอาไต้ทิ่มกำแพง ดับไฟเสีย เดินกลับวัดไปด้วยความสบายใจ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จฯ โตก็จุดไต้กลางวันอีก คราวนี้ไม่ได้เดินถือไปในวัง แต่เดินถือไปที่จวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
เรื่องมีว่า เมื่อตอนที่รัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ นั้น พระองค์มีพระชนมพรรษาเพียง ๑๕ ปี ๗ เดือน กับอีก ๙ วันเท่านั้น นับว่ายังทรงพระเยาว์นัก จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ผู้ที่เป็นก็คืออัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ที่ชื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
สมเด็จฯ โตได้ข่าวว่า จะมีการกบฏคิดร้ายต่อแผ่นดิน เพื่อยึดอำนาจจากรัชกาลที่ ๕ ท่านจึงจุดไต้เข้าไปยังจวนของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ตอนกลางวัน
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ถามว่า
“มีประสงค์อันใดหรือ จึงถือไต้เข้ามาหากระผมเช่นนี้”
“อาตมภาพได้ยินว่า ทุกวันนี้แผ่นดินมืดมัวนัก ด้วยมีคนคิดร้ายจะเอาแผ่นดิน ไม่ทราบเท็จจริงจะเป็นประการใด ถ้าแม้เป็นความจริงแล้วไซร้ อาตมภาพก็ใคร่จะขอบิณฑบาตเขาเสียสักครั้งหนึ่งเถิด”
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ฟังแล้วก็อึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“ขอพระคุณเจ้าอย่าได้วิตกเลย ตราบใดที่กระผมยังมีชีวิตอยู่ฉะนี้ จะไม่ให้แผ่นดินนั้นมืดมัวหล่นลงไป ด้วยจะไม่มีผู้ใดแย่งแผ่นดินไปได้เป็นอันขาด”
“โยมไม่สู้มืดนักดอกเจ้าคุณ อนึ่ง โยมนี้มีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนาแน่นอนมั่นคงเสมอ อนึ่ง โยมทะนุบำรุงแผ่นดินโดยเที่ยงธรรม และตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยตรงโดยสุจริต คิดถึงชาติและศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้งตรงอยู่เป็นนิตย์ ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุ”
เมื่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกล่าวดังนั้น สมเด็จฯ โตท่านก็เดินทางกลับวัด
เป็นหน้าที่ของพระภิกษุและนักปราชญ์ราชบัณฑิต ที่จะต้องคอยเอาใจใส่ดูแลเรื่องของบ้านเมืองให้เป็นไปโดยถูกต้องเป็นธรรม เพื่อความผาสุกของประชาราษฎร์ ซึ่งนักปกครองนักบริหารบ้านเมืองที่ดี ย่อมจะน้อมรับฟังคำตำหนิติเตียน คำสั่งสอน ด้วยความเคารพ
"ปริศนาธรรมนี้ไม่มีเฉลย
สุดแต่ท่านผู้อ่าน
จะตีความและทำความเข้าใจเอง"
ที่มา : จากหนังสือ “ปริศนาธรรม สมเด็จฯ โต”
ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร...เรียบเรียง
ตอบลบขอบคุณค่ะคุณน้อง นำเรื่องดี ๆ มีข้อคิดดี ๆ มาให้เรื่อย ๆ
ตอบลบไม่ได้มาแอ๊คอาร์ต แต่มาตรวจราชการ
ป๊าด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด
ตอบลบถ้าเป็นสังคังที่โคนขาอย่างที่ว่า
จะไป "แก้" ด้วยการ "เกา" ทำเป็ดอะไรหละว้อยอั่ยน้อง
แก้ด้วยการ "เยียวยา"
แก้ด้วยการหาทาง "ดับ" พิษร้ายดิว้อย
เหตุเกิดที่ไหน ต้องดับที่ต้นเหตุดิ
"ไอ้สังคัง" นี่ต้องดับอนาถค้าบพี่น้องเอ๊ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย
แล้วพี่ตรงประเด็นป่าวเนี่ย...เหอ..เหอ..
ป๊าด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด
ตอบลบถ้าเป็นสังคังที่โคนขาอย่างที่ว่า
จะไป "แก้" ด้วยการ "เกา" ทำเป็ดอะไรหละว้อยอั่ยน้อง
แก้ด้วยการ "เยียวยา"
แก้ด้วยการหาทาง "ดับ" พิษร้ายดิว้อย
เหตุเกิดที่ไหน ต้องดับที่ต้นเหตุดิ
"ไอ้สังคัง" นี่ต้องดับอนาถค้าบพี่น้องเอ๊ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย
แล้วพี่ตรงประเด็นป่าวเนี่ย...เหอ..เหอ..
ป๊าด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด
ตอบลบถ้าเป็นสังคังที่โคนขาอย่างที่ว่า
จะไป "แก้" ด้วยการ "เกา" ทำเป็ดอะไรหละว้อยอั่ยน้อง
แก้ด้วยการ "เยียวยา"
แก้ด้วยการหาทาง "ดับ" พิษร้ายดิว้อย
เหตุเกิดที่ไหน ต้องดับที่ต้นเหตุดิ
"ไอ้สังคัง" นี่ต้องดับอนาถค้าบพี่น้องเอ๊ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย ย
แล้วพี่ตรงประเด็นป่าวเนี่ย...เหอ..เหอ..
คุณพี่ขา...คุณพี่ขา...
ตอบลบมา "แอ๊คอาร์ต" หรือมา "ตรวจราชการ"
ขากลับก็ต้องกลับทางนี้ค่ะ
"ป่าราบ" เลยหงะ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ทางเสือ เสือเดิน
ทางหมา เป็ดเดิน"
....อะเฮอะ...อะเฮอะ...
จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คุณน้อง
ตอบลบ