Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
“การทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น
เป็นเรื่องไม่ธรรมดา พิลึกพิลั่น
และมีเหตุการณ์อันประหลาด
มหัศจรรย์มากมาย
“งูเล็กทั้ง ๔ จะเป็นมูลเหตุ
นำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง
“ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง ๗ ปี ๗ เดือน
และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป ๑๕๐ ปี”
ดวงเมืองไทยมีคำสาปแช่ง
ระวังความฉิบหาย
โดย...ยอดรัก ตวันรอน
ที่มา : น.ส.พ. ผู้จัดการ ลงวันศุกร์ที่ ๔ ต.ค. ๒๕๔๕
“พระโหรา กล่าวโศลกบูชาฤกษ์และพระมหาราชครูอ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง ๔ แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิตลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไป เริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิม และอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลาเลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง ๔ ก้อนนั้น ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่า ก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล ๙ ประการ โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น”
ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้องบอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์
ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็ก ๆ ๔ ตัว ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธีอยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมืองนั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น หาปรากฏว่ามีงู ๔ ตัวดังกล่าวนั้นไม่ และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไขประการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น ทำให้งูทั้ง ๔ ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้นหลุมนั่นเอง
แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท คราวนี้ได้เสียพระมหาปราสาทไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่มตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง ๗ ปี ๗ เดือน เป็นอันเสร็จสิ้นพระเคราะห์เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป ๑๕๐ ปี (เทพย์ สาริกบุตร “โหราศาสตร์ในวรรณคดี”)
คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ก็คงจะได้พบได้เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า คัมภีร์พระนครฐาน
แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้าน ๆ คน อาจจะไม่เคยทราบว่า การทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดา พิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด หรือคนโบราณเขาได้ทำกันอย่างไร และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายทายทักออกมาได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ เป็นต้นไป ระบอบการปกครองของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธีเหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุดของประเทศ ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคาถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น ทุกคนก็ได้เห็นว่ามีงูเล็ก ๔ ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้ตายลงไป
และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า มันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้น จะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ ๔ พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์ และเหตุการณ์ก็เป็นจริง เพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ครบ ๑๕๐ ปี จากวันที่ฝังเสาหลักเมืองและการตายของงูทั้ง ๔ ตัวนั้นเหมือนกับนัด
ในระยะนั้น เจ้านาย ๔ พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ (๑) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (๒) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ (๓) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (๔) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง ๔ พระองค์ คือปีมะเส็งซึ่งหมายถึงงูเล็ก หรืองูทั้ง ๔ ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น
ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้
การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทยทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปด ที่จะต้องการสองประการคือ (๑) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอันเป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป (๒) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใด ๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง
ทั้ง ๔ มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไปว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออก และตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์เหล่านั้นไว้เป็นอันขาด
ว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมหรือเครื่องรางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ ดีไม่ดีติดคุกเอาง่าย ๆ ในชีวิตจะหมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว
ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง ๔ มุมเมืองในวันนั้น ก็เป็นเพียงรับรู้และบอกเล่ากันมา แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ เข้ามาประกอบพิธีด้วย ท่านว่า “และให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง ๔ ทิศขึ้น ๔ ศาล” ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง ๔ มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้
เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหายน้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ดูเหมือนจะอยู่จะตายพร้อมกับเสียงสาปแช่งของผู้คนไม่มากก็น้อย
หรือเอากันว่าโอกาสที่จะตายดีกันอย่างสามัญชนกันนั้น มีน้อยคนทีเดียว !
ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนสำคัญ ๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยากันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วทุกคนก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช พระยาศรสิทธิสงคราม และคนอื่นๆ แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดีกันทั้งนั้น
แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศลและสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้ และที่ร้ายที่สุดก็คือ ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด นั่นคือความอาถรรพ์ของดวงชะตาเมือง
และรัฐบาลชุดนี้*** ที่ถือเอาฤกษ์วันที่ ๓ ตุลาคมที่ผ่านมานั้นเป็นหลัก สิ่งที่จะเกิดก่อนอื่นที่ไม่สามารถจะแก้ไขก็คือ ความแตกแยกที่จะต้องแตกกันขนาดต้องพังไปข้างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยอะไร
ถึงแม้ว่ามีโอกาสได้ตั้งกระทรวงต่าง ๆ มาถลุงเงินประชาชนกันอย่างสนุกมือก็ตาม แต่ก็จะต้องระวังอาถรรพ์และคำสาปแช่งของโบราณนั้นไว้บ้างก็ดี เพราะเสาหลักเมืองยังอยู่ อาถรรพ์และเสียงสาปแช่งจะไม่ไปไหนเสีย ถ้าหากเกิดความสกปรกหรือผิดพลาดอะไรขึ้นมา เจอพิษงูเล็กชุดนี้แน่
ไม่เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่คณะรัฐบาลทั้งชุด ทั้งคณะควรจะรู้เรื่องราวของอาถรรพ์เหล่านี้ไว้บ้าง อาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่เคยไว้หน้าใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในตำแหน่งขนาดไหน !
ที่มา : http://www.paisarn.com/believeother.htm
*** หมายเหตุเพิ่มเติม
“รัฐบาลชุดนี้” ในบทความนี้ หมายถึง คณะรัฐบาลชุดที่มี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี (คนที่ ๒๓ ของประเทศไทย) ดำรงตำแหน่ง ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ และพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ขณะกำลังร่วมการประชุมสหประชาชาติ ที่ นครนิวยอร์ก
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG603 ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา ๙.๔๐ น. ก่อนที่จะเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อมอบตัวในคดีทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก และเดินทางไปสำนักงานอัยการสุงสุด เพื่อมอบตัวในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทเอสซีแอสเซทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น
เรียบเรียงจาก
ข้อมูลของเว็บไซต์วิกีพีเดีย
สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/
ภาพจาก
http://www.alittlebuddha.com/
http://travel.sanook.com/
http://gotoknow.org/file/konphet/
http://www.horawej.com/
http://irrigation.rid.go.th/
http://www.bloggang.com/data/bookkii/
http://www.kus.ac.th/
http://ads.dailynews.co.th/
http://www.budpage.com/
ขอบคุณค่ะที่นำมาให้ได้อ่าน
ตอบลบยาวหน่อยนะคะ
ตอบลบอ่านจบตาลายเลยมั้ยคะ
หัว-หู-ลายหมดเลยค่ะคุณน้อง อิอิ
ตอบลบแน่ใจเหรอ หมอเขมรเขาก็เก่งนะ
ตอบลบยี้ )))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))))
ตอบลบจริงด้วยอะ
มันหนักแผ่นดินจริงๆพวกนี้ ผมไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอาย(ด่าแบบสุภาพเกินไป) หน้าด้าน หน้ามึน เหมือนไม่มีพ่อแม่คอยสิ่งสอนมาก่อน ... จบข่าว
ตอบลบว่าใครน้อ
ตอบลบกล้องพร้อม ไฟพร้อม
กราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ