วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องลับจากต่างแดน...โดย อัญชะลี ไพรีรัก

Rating:★★★★★
Category:Other

 




เรื่องลับ
จากต่างแดน




โดย อัญชะลี ไพรีรัก
19 สิงหาคม 2552 15:58 น.



 


โล่งอกแกมตลกเหลือรับประทานกับงาน “ถวายฎีกา” ของคนเสื้อแดง ภายใต้การกำกับของ “นักโทษชายทักษิณ”
      
        งานนี้ทักษิณต้องเสียเงินอักโขทีเดียว ในการเกณฑ์คนมาใส่เสื้อแดง เพื่อเข้าร่วมขบวนพิธีถวายฎีกา..พิธีเถื่อนของนักโทษที่ดิ้นรนต่อสู้แม้รู้ว่าทำผิดกฎหมาย ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เพราะงานนี้มีเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท - เสรีภาพ และชีวิตเป็นเดิมพัน...ทักษิณสู้ตาย
      
        เพื่อนนักการเงินคนหนึ่ง เปรยให้ฟังขณะนั่งดูการถ่ายทอดสดจากช่อง MTV เมื่อเห็นคนเสื้อแดงหาบห่อผ้าสีแดงเดินตามขบวนของสามเกลอหัวขวดต้อยๆ ว่า
      
        “สงสัยกุนซือทักษิณดูหนังจีนกำลังภายในมากไปมั้ง ดูสิทั้งหาบแดง ห่อแดง แล้วหาบหัวท้ายแบบนี้ เหมือนหาบโลงศพจะไปสุสาน” …ฟังแล้วเห็นด้วย
      
        แต่เพื่อนรุ่นน้องนักข่าวการเมืองคนหนึ่ง กลับสนใจเรื่องการถ่ายทอดสดมากกว่า เขามองว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยให้ภาพเหล่านี้หลุดออกสู่สายตาสาธารณชนแม้แต่น้อย
      
        “ภาพทุกภาพที่ปรากฏออกมาจะต่อยอดกับกิจกรรม “ล้มเจ้า” ที่ปรากฏใต้ดินและบนดินมาตลอดในหลายปีนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะช่วยกันทุบตี และบั่นทอนความเข้มแข็งของสถาบันสูงสุดอย่างรุนแรง”
…นี่ยังไม่นับงานดำทั้งแผ่นดิน เพื่อล้มอำมาตย์อีกนะ ไม่รู้สาทิตย์มัวทำอะไรอยู่
      
        แต่มีเพื่อนๆ ทางเมล์คัดเอาบางส่วนจากคอมเมนต์เด็ดในเว็บไซต์ แมเนเจอร์ ที่นับเส้นทางการทำงานหลังแม้วแดงตีมึนถวายฎีกาว่า เป็นงานที่ใช้เงินมาก และดูออกว่าสามเกลอรวยเช็ด ส่วนเนื้องานนั้น เขาอธิบายว่า ทั้งงานวันเกิดและวันถวายฎีกา หน้าตาเหมือนงานกงเต๊กเลย!!! …ลองอ่านดูเอาเอง
      
        “กรูเอาใจช่วยเมิงด้วย หวังว่าเขาจะตรวจสอบชื่อเสร็จก่อนเมิงแห้งตายนะ เห็นเขาว่าคนมาลงชื่อช่วยเมิงมากมาย ตั้งห้าล้านคนแนะ ซวยเลยเมิง...กรูว่าถ้าขยันๆ หน่อย คงตรวจชื่อได้วันละซัก 1,000 คน กว่าจะตรวจเสร็จก็ใช้เวลาแค่ 5,000 วัน ก็แค่ 13 ปีเองอ่ะ...อุอุ หักเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดรายการอีก กรูว่าซัก 16 ปีคงพอมั้ง...ฮ่าฮ่าฮ่า” ...นี่เป็นแค่ตัวอย่างตอนหนึ่งเท่านั้น
      
        เพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นข้าราชการกระทรวงหมอ บอกว่า เห็นขบวนถวายฎีกาแดงแล้วขัดใจ สงสัยว่าทำไมทั้งตำรวจและทหารไม่ออกมาจัดการกับ “ไอ้พวกระยำตำบอน”เหล่านี้ให้สิ้นซาก ปล่อยให้คนผิดลอยนวลย่ำยีซ้ำเติมประเทศและสถาบันอยู่ได้
      
        เพื่อนคนนี้บ่นพึมพำได้สักพักก็สำลักความในใจออกมาว่า
“เออ...ตาหมัก หมูกหมูปากหมาแกป่วยหนักมากนะ มะเร็งลามไปทั่ว ล่าสุดต้องสี่คนหามสามคนแห่แบกเข้าโรงพยาบาลหรูหราแห่งหนึ่งกลางถนนสุขุมวิท คราวนี้เข้าเงียบๆ แล้วใช้ชื่อปลอมด้วย ท่าทางคงไม่รอด เพราะถึงกับต้องให้อาหารทางสายน้ำเกลือแล้ว”
      
        ถึงตรงนี้บทสนทนาเริ่มเปลี่ยนจากฎีกาแม้วมาสู่โรคภัยไข้เจ็บ เมื่อเพื่อนจากวงการบันเทิงคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า
      
        เฮียสุริยะก็เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ขั้นที่ 3 เหมือนกัน ก่อนหน้านี้หนีไปรักษาตัวที่เมืองนอก กลับมาค่อยยังชั่วขึ้น แต่ไปทำชั่วมาอีกแล้วหรือไงไม่รู้ ผ่านไปแค่ 3 ปีมะเร็งกลับมาอีกรอบ คราวนี้วิ่งจี๋ไปหาหมอคณะเดียวกันกับตาหมัก หมูกหมูปากหมาเลย” …ไม่รู้เป็นไง...นึกถึงพวกนี้ทีไร พานให้คิดไปว่า ใครก็ตามไปทำไม่ดีกับพระวิหาร มักมีอันเป็นไปอย่างนี้ทุกรายสิน่า
      
        เพื่อนคนนี้เล่าเรื่องเฮียสุริยะแล้วบ่นงึมงำว่า ขาดรายได้ไปเยอะ เมื่อเฮียป่วยถึงเพียงนี้คงไม่มีกระจิตกระใจไปดีดดิ้นกับน้องๆ หนูๆ ให้โรคซ้ำกรรมซัดอีก เป็นเสียอย่างนี้แล้ว อนุมานว่า รายได้คงหดหายไปไม่มากก็น้อย เพราะลูกค้ารายใหญ่ฟากกระโน้นก็เป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากเหมือนกัน…เห็นป่ะนี่ก็อีกราย...ยังไม่นับที่ตายไปก่อนหน้านี้อีกละ
      
        “ช่วงนี้ค้าไม่ได้ขายไม่ดีลูกค้ารายใหญ่กระเป๋าหนักพากันเป็นมะเร็งไปเสียหมด” เพื่อนเก่าสายบันเทิงบ่นไม่หยุด และเล่าต่อไปโดยหาได้มีใครสนใจการถ่ายทอดสดฎีกาแดงไม่
เฮียคนโน้นเจ้าของห่อแดงแรงฤทธิ์แกผอมเอาๆ เลยไม่นำเข้าน้องหนูไปจู้ฮุกกรูอีกแล้ว ตอนนี้ทุ่มเทเงินทองนำเข้าหมอๆ หมดไปหลายตังค์ มีทั้งหมอไทยหมอฝรั่ง เพราะที่ดูไบมีแต่หมอปากีสถานที่ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องมะเร็งสักเท่าไร”
      
        ถามไถ่กันไปมาความว่า คนดูไบเจ็บไข้ได้ป่วยบักโกรก ผ่ายผอมผิดรูปร่าง แต่ยังขืนใจสู้ อุตส่าห์ลุกขึ้นมาโฟนอินวันละสามรอบสี่รอบ สารพัดจะอ้าง สารพัดจะตลบตะแลง สาบานอีกร้อยแปด
      
        คนเราอะนะ...ลองมันจะเอาอะไรให้ได้แล้ว ให้มันทำอะไรก็ยอม เลียขี้ก็ยังเอา ถ้าได้กลับบ้านและเงินไม่โดนยืด มันทำได้ทั้งนั้น ก็โถ...โกงชาติ- จาบจ้วงยังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับไอ้เรื่องขี้ปะติ๋ว กะอีแค่เลียขี้ ทำไมจะทำไม่ได้ เผลอๆ ทำได้ดีกว่าหมาอีก ไม่เชื่อใครลองมาท้าดูก็ได้
      
        เวลานี้มีนักธุรกิจฝรั่งที่ผ่านไปทางดูไบเล่าว่า คนดูไบได้รับการอารักขาเข้มจาก “คนใหญ่” ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับคนโตของประเทศ เขาสองคนทำธุรกิจหมื่นล้านด้วยกัน เลยได้ความคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยในดูไบ เมืองสวยที่กำลังประสบปัญหาการเงินอย่างหนักในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ด้วยการถมก่อสร้างหรูหรามากไป ขณะที่เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก ไม่มีมหาเศรษฐีหน้าไหนมีเงินเหลือพอมาใช้ชีวิตร่ำรวยในดูไบอีกต่อไปแล้ว...เหตุนี้จึงจำใจต้อง “ง้อ” พี่แม้วจอมฎีกา กับเงินบาปของเขา
      
        มีแต่เราเท่านั้น ที่นั่งมองตาปริบๆ ขณะที่ดูไบขยิบตาให้ทักษิณ จุดไฟโยนใส่บ้านเรา
      
        หลายๆ คนที่ผ่านไปผ่านมา ยังกลับมาเล่าเรื่องทักษิณ อิน ดูไบให้ฟังว่า ฤดูนี้ที่ดูไบร้อนนักร้อนหนา ทักษิณเลยออกจากบ้านที่ “ดูไบ ครีก” มาเตร็ดเตร่อยู่แถวห้างสรรพสินค้าใหญ่เป็นว่าเล่น
      
        แม้วแดงเดินเกร่ไปเกร่มาสักพัก ก็ชอบมานั่งแปะลอยหน้าลอยตาอยู่ที่ร้านกาแฟใหญ่ หวังให้คนไทยที่แห่ไปชอปปิ้งดูไบได้เห็นหน้าค่าตากันชัดๆ
      
        คนไทยบางคนนี่ก็ช่างกระไร เห็นทักษิณเป็นไม่ได้ อาการบ้าดาราคนดังกำเริบทันที แทนที่จะพากันถ่มน้ำลายใส่คนขายชาติ กลับกรูกันเข้าไปยื้อแย่งถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึก!!!
      
        หนักๆ เข้าแม้วแดงติดใจ เลยออกมานั่งรอคนถ่ายรูปทุกวี่ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเจอทีเด็ดจากพี่สาวเสื้อเหลืองคนหนึ่ง ที่ตะโกนแทรกขึ้นกลางวงชุลมุนถ่ายรูปหน้าร้านกาแฟว่า
      
        “เรียกตำรวจมาจับมันเลย นักโทษหนีคดีอยู่ที่นี่เอง” ตะโกนเสร็จเจ๊เสื้อเหลืองก็เดินหลีกออกไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้วงแตก – ตาค้างกันทั้งคนถ่ายและคนถูกถ่าย
      
        คนที่ไปดูไบยังเล่าให้ฟังอีกว่า รอบตัวทักษิณล้วนเต็มไปด้วย “ข้าราชการสถานกงสุล” ใครเป็นใครรู้กันดีอยู่แก่ใจไม่ต้องสาธยายให้มากความอายเขา ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ “กษิต ภิรมย์” ซึ่งรู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ดี จะมีมาตรการอย่างไรต่อไป เมื่อข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเดินอี๋อ๋อกับนักโทษหนีคุกผู้จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวไม่เว้นวาง
      
       
เรื่องนั้นยังไม่เด็ดเท่ากับเรื่องนี้ เรื่องที่มี “ดร.ก.” เจ้าน้ำตาคนหนึ่งซึ่งเคยเอาหลังอิงพิงค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผม ล่าสุดเหินฟ้าไปโอภาปราศรัยกับแม้ว ฎีกาแดงอย่างไม่กลัวใครเห็น
      
        ยังไม่พอ...ต้องเล่าไปถึงเรื่องบรรดาลิ่วล้อของทักษิณ ที่บินไปมาหาสู่กันให้ควั่ก ไปกันแต่ละทีก็ได้เงินได้ทองได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า บางคณะต้องไปรอทักษิณเป็นวันๆ ก็ทนได้ไม่อิดออด
      
        คนพวกนี้ลิ้นสองแฉก ใจทราม พอเจอนายเก่ามะเร็งรุมปั๊บ จะนัวเนียพันแข้งพันขาไม่รอช้า เมื่อได้เงินได้ทองเต็มท้องกางแล้ว ก็รีบชิ่งกลับบ้านทันทีไม่รอช้าเช่นกัน
      
        รีบขนาดไหน? ก็ขนาดทิ้งรูปถ่าย พร้อมลายเซ็น และโปสเตอร์ที่ทักษิณไหว้วานให้หอบนำกลับไปแจก “รากหญ้า” มันยังลืมได้เลยคิดดู ปากก็บอกว่ารัก แต่พอรูปมันบอกว่า “หนักกระเป๋า” ไม่เอาไปด้วยเผ่นแน่บกลับบ้าน เป๋าตุง...
ทักษิณโง่ได้ถ้วยเลยจริงๆ ถูกหลอกกินหลอกใช้ไม่รู้เจ็บรู้จำ
      
       
ล่าสุดมีเรื่องเล่าจากลอนดอนบอกว่า คนบางคนถึงกับติดต่อขอจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ให้ทำข่าวทำลายสถาบันสูงสุดของเมืองไทย
      
        แต่ทางโน้นเขาตอกกลับหน้าหงายว่า ไม่ทำ และทำไม่ได้ เพราะสถาบันสูงสุดของประเทศไทยหยั่งรากฝังลึกมานาน ราชวงศ์ไทยกับอังกฤษใกล้ชิดกันมาก ทั้งพระมหากษัตริย์ของไทยท่านทรงทศพิธราชธรรม และทำทุกสิ่งเพื่อปวงชนชาวไทยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนได้ชื่อว่าเป็นมหาราชแห่งสยามประเทศ กษัตริย์พระองค์นี้ยังเป็นที่ยอมรับและนับถือจากทุกราชวงศ์ และผู้นำทุกประเทศทั่วโลก บริษัทนี้เขาประชุมกันแล้วบอกเลิกศาลาไม่รับงานนี้และไม่คบหากับลูกค้ารายนี้อีกต่อไป เพราะไม่อยากเปรอะเปื้อนไปด้วย…ไชโยปรบมือดังๆ
      
        ซ้ำร้าย...มีคนเล่าว่า นายหญิงทำเอกสารขอวีซ่าเข้าอังกฤษใหม่อีกรอบหนึ่ง แน่นอน...รู้ไว้เสีย...อังกฤษนะเป็นประเทศนะจ๊ะ ไม่ใช่แป้งเย็น... ผลคือ No ตามระเบียบเรียบร้อยโรงเรียนลอนดอน…สมน้ำหน้า
      
        ตอนนี้ลอนดอนอากาศดี แต่ไม่รู้เป็นไงใครต่อใครถึงอยู่กันไม่ได้ คนแรกหน้าตาดีไม่อิดโรยเหมือนคนป่วยแต่ไม่มียางพอจะสู้หน้า และไม่กล้าติดคุก เลยเร้นกายไปอยู่อเมริกาแล้ว คนต่อมาพาเมียพาลูกไปดูบ้านดูโรงเรียนเสร็จกลับไม่ชอบ คงเพราะมีหวยให้เล่นไม่สาแก่ใจมั้ง เลยอพยพไปอยู่อเมริกาอีกครัว กะว่าถ้าโชคดีมีดวงคงได้ “ล๊อตโต” กับเขาบ้าง...ถ้าไม่ติดคุกเสียก่อนนะ
      
       
งานนี้ทั้งยางทั้งหวยอ่วมด้วยกันทั้งคู่...ดูสิ ตุลาการออกฤทธิ์พิชิตคนชั่วแล้ว

       ตบท้ายด้วยข่าวจากปากหมอดูอีทีพม่า เขาบอกว่า ต้นปีหน้า กระสุนสังหารจะทำงานอีกคำรบ และยกนี้ไม่พลาดเป้า แต่ที่หมายจะเป็นหัวใครโปรดติดตาม...เขาว่างานนี้ยิงกระสุนนัดเดียวได้เลือดนองท้องช้างกันเลยพี่น้อง.




ที่มา :
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094448




 


 

คลิปเปลือยธาตุแท้ “แม้ว” หนีเอาตัวรอด-หลอกเสื้อแดงตายแทน

Rating:★★★★★
Category:Other


 


"ทักษิณอยู่ไหน ?"


"ไม่ต้องห่วง
ผมเอาตัวรอด"




 


ชมคลิปเปลือย ธาตุแท้ “แม้ว”
หนีเอาตัวรอด - หลอกเสื้อแดงตายแทน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
20 สิงหาคม 2552 23:57 น.


 



 


       วิดีโอคลิปซึ่งผู้ชมส่งมาให้ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ดำเนินรายการ“รู้ทันประเทศไทย” นำออกอากาศทางเอเอสทีวี เมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเปลือยให้เห็นธาตุแท้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยและนักโทษคดีทุจริตที่อยู่ระหว่างหลบหนี ว่าเป็นคนที่เอาตัวรอด ปลุกให้คนเสื้อแดงออกมาสู้เพื่อให้ตัวเองกลับมามีอำนาจ แต่ตัวเองกลับหนีเอาตัวรอดไปใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่ต่างประเทศ ปล่อยให้คนเสื้อแดงต่อสู้อย่างยากลำบากและเสี่ยงชีวิตแทน


 


ที่มา :
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095155
      



 

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมัครด่วน "ค่ายนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวกับ อ.ส.ท."

 


อยากเป็นนักเขียนที่มีคุณภาพเชิญทางนี้

  


โครงการ
ค่ายนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวกับ อ.ส.ท.
เที่ยวไปได้ความรู้กับค่ายนักเขียนสารคดี อ.ส.ท.


อนุสาร อ.ส.ท. เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าอบรม

ค่ายนักเขียนสารคดีท่องเที่ยวกับ อ.ส.ท.
เส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก-ภูหินร่องกล้า
วันที่ ๕-๘ และ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒


พบกับวิทยากรนักเขียนสารคดีชื่อดังของเมืองไทย
         
ธีรภาพ โลหิตกุล
          อรสม สุทธิสาคร
          วินิจ รังผึ้ง
          อภินันท์ บัวหภักดี
          และทีมนักเขียนอนุสาร อ.ส.ท.

ที่จะมาให้ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องการเขียนสารคดี
และนำลงพื้นที่เก็บข้อมูล ถ่ายภาพแหล่งท่องเที่ยว

สนุกสนานท้าทายกับกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก
ท่องธรรมชาติในวันดอกไม้บานบนภูหินร่องกล้า
นมัสการพระพุทธชินราช
และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี


พักสบาย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ
ที่เรนฟอเรสท์ รีสอร์ท จังหวัดพิษณุโลก


ค่าเข้าร่วมกิจกรรม

(รวมค่าพาหนะเดินทาง ค่าที่พัก ๒ คืน ค่าอาหาร-เครื่องดื่มทุกมื้อตามรายการ ค่ากิจกรรมล่องแก่ง ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติ ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ค่าประกันการเดินทาง ค่าวิทยากร และเอกสารประกอบการบรรยาย)
          -
บุคคลทั่วไป                   คนละ ๔,๐๐๐ บาท
          -
สมาชิกอนุสาร อ.ส.ท.       คนละ ๓,๕๐๐ บาท

รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนจำกัด
สมัครด่วนวันนี้
ที่
งานการตลาดวารสาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
โทรศัพท์ ๐ ๒๒๕๐ ๕๕๐๐ ต่อ ๒๐๑๐-๓


อ่านรายละเอียดได้ที่
http://osotho.com/th/content/librarydetail.php?ContentID=1142
เว็บไซต์ อสท
www.osotho.com


โปรแกรมการเดินทาง
ค่ายนักเขียนสารคดีกับ อ.ส.ท.
เส้นทางกรุงเทพฯ-พิษณุโลก-ภูหินร่องกล้า
วันที่ ๕-๘ และ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒


เสาร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๒

(ห้องประชุม ททท. สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่)
          - พิธีเปิดการอบรม โดยนายพงศธร เกษสำลี ผู้อำนวยการฝ่ายบริการการตลาด 
          - บรรยายหัวข้อ
เมื่อคิดจะเขียนสารคดีท่องเที่ยวโดยธีรภาพ โลหิตกุล
          - บรรยายหัวข้อ
สารคดีท่องเที่ยวจากมุมมองของบรรณาธิการ โดยวินิจ รังผึ้ง
          - บรรยายหัวข้อ
สนุกกับการเขียนสารคดีแบบอรสมโดยอรสม สุทธิสาคร
          - บรรยายเรื่อง
ภาพประกอบสารคดีโดยอภินันท์ บัวหภักดี

อาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒
(ททท.-พิษณุโลก)
          - ออกเดินทางจาก ททท. สู่พิษณุโลก เข้าที่พัก เรนฟอเรสท์ รีสอร์ท
          - เดินทางไปจุดลงล่องแก่งลำน้ำเข็กบ้านท่าข้าม รับฟังบรรยายการปฏิบัติตัวในการล่องแก่ง ร่วมกิจกรรมเก็บขยะ รักษาสายน้ำตลอดเส้นทางล่องแก่ง
          - ขึ้นท่าที่น้ำตกแก่งซอง ชิมกาแฟสดแก่งซองอันลือชื่อ พร้อมของว่าง
          - รับประทานอาหารเย็น พร้อมชมและฟังการเล่นอังกะลุงของนักเรียนโรงเรียนป่าไม้อุทิศ ๖
          - พูดคุยกับนักเขียนในบรรยากาศที่เป็นกันเอง


จันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒
(พิษณุโลก)
          - เดินทางสู่ภูหินร่องกล้า ชมธรรมชาติเส้นทางลานหินปุ่ม ผาชูธง โรงเรียนการเมืองการทหาร
          - เดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติลานหินแตก
          - ชมน้ำตกปอยก่อนเดินทางกลับที่พัก
          - พูดคุยกับนักเขียนในบรรยากาศที่เป็นกันเอง

อังคารที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๒
(พิษณุโลก-ททท.)
          - เดินทางออกจากที่พักไปนมัสการพระพุทธชินราช และซื้อของฝาก (กล้วยอบน้ำผึ้ง มี่สั้ว)
          - แวะชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี และชมโรงหล่อพระ
          - รับประทานอาหารกลางวันที่พิษณุโลก
          - เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ


เสาร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒
(ณ ห้องประชุม ททท. สำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่)
          - พบปะสังสรรค์ ส่งงานเขียน วิทยากรวิจารณ์และให้คำแนะนำงานเขียน
          - พร้อมชมภาพถ่ายกิจกรรมค่ายนักเขียนกับ อ.ส.ท.


ไปด้วยกันนะ

 

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทักษิณอธิษฐาน...เลวจริงขออย่าได้กลับเมืองไทย-ปฏิญาณจงรักภักดี

Rating:★★★★★
Category:Other



ทักษิณอธิษฐาน
เลวจริงขออย่าได้กลับเมืองไทย
-ปฏิญาณจงรักภักดี


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วันที่ 17 สิงหาคม 2552 13:13



 


วิดีโอลิงค์"ทักษิณ" ขอพระชนม์ยืนนาน120พรรษา ปฏิญาณจงรักภักดีตลอดชีพ ยื่นฎีกาเสร็จสะอื้นขอบคุณเสื้อแดง อธิษฐานบนเครื่องเลวจริงอย่าได้กลับไทย



        เมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินก่อนการยื่นรายชื่อถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้กับรองราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง ดังต่อไปนี้ว่า "ขอบคุณพี่น้องที่มีน้ำใจและไม่มีวันลืมทั้งชีวิต วันนี้ที่พี่น้องมาที่นี่ ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเองลำพัง แต่พี่น้องได้สั่งสมความรู้สึกมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เสียงของประชาชนถูกโยนทิ้งเพราะปฎิวัติ ได้เปลี่ยนการปกครองคนส่วนใหญ่เป็นคนส่วนน้อย จนเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น เกิดระบบ 2 มาตรฐาน ผมเป็นเหยื่อถูกรังแกใส่ร้ายทำให้พี่น้องเดือดร้อน ก็เดินทางมาขอพึ่งพระบารมี เพราะพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยทุกคน ในเมื่อคนไทยส่วนใหญ่กลุ่มหนึ่งนำโดยพี่น้องได้พร้อมใจกันมาขอพึ่งพระบารมี


        วันที่ได้เป็นนายกฯ ได้โอกาสมีเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการส่วนพระองค์ กราบบังคมทูลฯ ว่า ผมเป็นนายกฯ คนแรกที่เกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน คือทรงขึ้นครองราชย์ในปีพ.ศ.2489 ซึ่งผมเกิดพ.ศ.2492 โดยผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อบรรเทาพระราชภาระ ซึ่งเห็นมาตลอดว่า ทรงงานหนัก ขณะนี้ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ผมเลยทำงานทุ่มเทอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาตลอด ทุ่มเทให้พี่น้องประชาชน


        การทำโพลครั้งล่าสุด ด้วยทีมทำโพลทีมเดียวกับนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้ว่าคนกรุงเทพฯ 72% อยากได้รัฐธรรมนูญปี 40 คืนมา เพราะมีความสุขภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่ระบอบเผด็จการ แต่ลที่ได้รับจากการทุ่มเททำงานหนักและคิดดี คือถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาโดยเฉพาะการสร้างเรื่องไม่จงรักภักดี ทั้งหมดแล้วมีเป้าหมายสุดท้าย เพื่อต้องการโค่นล้มทางการเมืองและเปลี่ยนขั้วทางการเมือง โดยไม่อดทนใช้ครรลองของระบอบประชาธิปไตย จนเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา 49 พยายามอ้างเหตุผลตัวเอง ยัดเยียดข้อหากลั่นแกล้งให้ตน ขอยืนยันสีแดงไม่ใช่คอมมิวนิสต์แต่เป็นเลือดรักชาติและมีความจงรักภักดี ซึ่งวันนี้มากันอย่างสันติ พึ่งพระบารมี ตลอด 60 ปีครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจคนทั้งชาติและสัญลักษณ์ความสามัคคี


        ครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์ท่านทรงประชวร ผมได้เข้าเฝ้าฯ ส่วนพระองค์ และกราบบังคมทูลฯ ว่า ขอพระองค์ท่านทรงรักษาพระวรกายให้แข็งแรง เพื่อให้มีพระชนมายุยืนนาน เท่าพระอานนท์ 120 ปี เพราะผมรู้ว่าคนไทยไม่ฟังกัน คงมีพระเจ้าอยู่หัวที่คนไทยเชื่อฟัง ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งมีพระองค์ท่านองค์เดียวดลบันดาลให้ทุกอย่างหายปลิดทิ้ง นี่คือสิ่งที่ผมได้บังคมทูลด้วยหัวใจของความจงรักภักดี ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่น ตลอดเวลาทำงานได้สำเร็จ ขอเรียนว่าผมมีกำลังใจและได้รับสติปัญญา พระราชทานโดยตรงและโดยอ้อมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีโอกาสตามเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในหลายโอกาส เห็นการทำงานหนักของพระองค์ ทรงมีพระเมตตาต่อคนยากจนผ่านโครงการศิลปาชีพ ซึ่งผมได้เรียนรู้และเดินตามรอยพระบาท พยายามทุ่มเททุกอย่างจนสำเร็จ ต่อจนจนกลายเป็นความสำเร็จของโครงการโอทอปอย่างรวดเร็ว เพราะคนไทยมีฝีมือจากการถ่ายทอดในโครงการศิลปาชีพมาก่อนแล้ว


        แต่ไม่วายถูกใส่ร้าย ต้องถูกโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งเป็นเรื่องตลก การขายทรัพย์ไม่ผิด คนซื้อก็ไม่ผิด แต่สามีผู้ซื้อที่ยินยอมให้ทำนิติกรรมกลับผิด ทั้งๆ ที่ไม่มีความยุติธรรมในขณะนั้น เพราะสืบทอดมาจากการปฏิวัติรัฐประหารและวิธีกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น จึงยื่นถอนทนายแต่ศาลไม่ยอม และตัดสินลงโทษผมด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4


        ให้พ่อหลวงของเรา เพราะเราอยากเห็นความสามัคคีของคนในชาติและความปรองดองในสังคมไทย อยากเห็นสิทธิเสรีภาพของคนไทย และศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมา เราต้องการให้ประเทศไทยมีความสุขเหมือนเดิม เราต้องการให้นายกรัฐมนตรีสามารถไปไหนก็ได้ในประเทศไทยนี้ ไม่ใช่ว่า ถ้าเป็นทักษิณแล้วไปภาคใต้ไม่ได้ ถ้าเป็นอภิสิทธิ์ไปภาคเหนือกับอีสานไม่ได้ เราต้องการให้ทุกอย่างยุติ เราอยากให้เห็นว่าคนไทยมีหัวใจสีเดียวกัน รวมกันอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไมเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ ทำไมต้องใช้ปืนและกฎหมายเอียงๆ มาทำลายความสุขของคนไทย


        ถึงเวลาหรือยังที่คนไทยจะสามารถยิ้มใส่กันด้วยความสนิทใจ ไม่ใช่ยิ้มไปถามแล้วถามว่า เอ็งเป็นสีเหลืองหรือสีแดงวะ ถามว่ามันทุกข์ไหม ผมว่ามันทุกข์ทุกคน ผมก็เชื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกลุ้มพระทัยไม่น้อย ที่เห็นเมืองไทยเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นวันที่เราจะมาร้องทุกข์ ดังนั้น พวกทนายหน้าหอทั้งหลาย อย่ามาตีความเลอะเทอะ เพราะหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ต้องไปด้วยกัน ไม่งั้นประเทศจะไปด้วยกันไม่ได้


        พี่น้องครับ คนไทยทั้งชาติไม่ว่าจะสีอะไร อย่าให้คนหลงอำนาจมาเสี้ยมให้เราทะเลาะกันเลย มาเสี้ยมให้เราทะเลาะ เราต้องเป็นหัวใจสีเดียวกัน เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้า เราจะมีความสุขด้วยกัน เราจะสามัคคีกันถวายพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีความสุข พ้นความกลุ้มพระทัยในเรื่องนี้


        พี่น้องครับ ในฐานะที่ผมเคยทำหน้าที่มาหลายครั้ง และได้รับพระเมตตามาหลายครั้ง ผมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ตอนวิ่งจะพูดว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนนอนทุกวัน ต้องปฏิญาณตนว่าต้องจงรักภักดี เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ผมต้องนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์เป็นประจำ แม้เขาจะกล่าวหาว่าผมเป็นผู้ร้ายหลบหนี ผมขออนุญาตปฏิญาณตนต่อหน้าพี่น้องคนไทย ทั้งประเทศและต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์


        ข้าพเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ขอถวายสัตย์ว่า ข้าพเจ้าและครอบครัวจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และราชวงค์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ควรไม่ควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เรามาร้องเพลงร่วมกันดีกว่า เพื่อเป็นการถวายพระราชสดุดี


        จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้นำร้องเพลงสดุดีมหาราชา พร้อมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ท้องสนามหลวง และเมื่อร้องเพลงจบแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณและคนเสื้อแดงตะโกนว่า "ทรงพระเจริญ" และ "ไชโย" อีกสามครั้ง จากนั้นไหว้ขอบคุณกล่าวลาประชาชน


 


"ทักษิณ" สะอื้นขอบคุณ
สั่งลาเสื้อแดงสลายตัวกลับบ้าน


        ต่อมา เวลา 13.30 น. ภายหลังแกนนำบางส่วนกลับมาจากการยื่นถวายฎีกา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงได้ชี้แจงถึงขั้นตอนการวายฎีกาต่อผู้ชุมนุม พร้อมทั้งระบุว่าการถวายฎีกาถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจรับเอกสารเพื่อนำไปเก็บไว้ยังที่ปลอดภัย ซึ่งมีรองราชเลขาธิการมารับด้วยตนเอง นอกจากนี้ ในระหว่างที่เดินทางไปเกิดเหตุอัศจรรย์ เพราะทันทีถึงหน้าประตูวิเศษไชยศรี ได้เกิดฟ้าร้อง ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีฟ้าได้รับรู้การถวายฎีกา และในเวลาเดียวกันก็มีแสงแดดสะท้อนลงมาต้องเจดีย์ และหลังคาโบสถ์ สว่างจ้าเป็นสีทอง


        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายณัฐวุฒิได้ต่อสายไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้ง โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวว่า จนได้เฝ้าดูการยื่นถวายผ่านทางพีเพิลแชนแนลโดยตลอด รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาซึมเป็นระยะๆ และเมื่อโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน ทุกคนก็น้ำตาไหล ที่ประชาชนมีเมตตาให้ตนและครอบครัว และต้องขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทั้งแผ่นดินที่มีเมตาและมีเป้าหมายที่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่สันติสุข ความปรองดองของชาติและความก้าวหน้า โดยระหว่างนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือตลอดเวลา


        ระหว่างนั้นนายณัฐวุฒิ ได้สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิน ว่าหากกลับมาประเทศไทยและขึ้นเวทีของกลุ่มเสื้อแดงจะทำอะไรเป็นอย่างแรก พร้อมถามถึงของฝากที่ พ.ต.ท.ทักษิณฝากมาให้กับประชาชน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษินกล่าวว่า ตนบินไปรอบโลกแต่ใจก็ยังคิดถึงประเทศไทย อยากเล่าว่าครั้งหนึ่งต้องนั่งเครื่องบินผ่านประเทศไทย นักบินจึงถามว่าจะให้บินอ้อมหรือไม่ เพราะหากเกิดเหตุต้องบินลงฉุกเฉินอาจทำให้เกิดเรื่อง เขาบอกว่าให้บินผ่านประเทศไทยเลย ซึ่งระหว่างที่บินผ่านนั้น ระยะเวลา 20 นาที ก็ได้นั่งสมาธินึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิในประเทศไทยว่า หากผมเลวจริงก็ขออย่าให้ได้กลับมายังประเทศไทย แต่หากจงรักภักดีคิดดีก็ขอให้กลับมา และได้แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร


        "ผมก็หวังว่าจะได้กลับมาตอบแทนคุณพี่น้องคนไทย ซึ่งหากได้กลับมาขึ้นเวทีเสื้อแดงสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องกราบขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่เมตตามากมายขนาดนี้ ส่วนของที่ฝากมาให้ เป็นรูปภาพของผมพร้อมด้วยข้อความที่ผมตั้งใจเขียนเป็นที่ระลึกจากใจผู้ที่อยู่แดนไกล และหากมีโอกาสกลับมาจะไปเยือนพี่น้องทุกหนทุกแห่งเท่าที่จะทำได้ และหลังจากนี้ก็คงจะบินโฉบไปโฉบมาสักพักจนกว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นและขอให้สู้กันอย่างสันติ เพราะเชื่อว่าสันติจะทำให้เราชนะได้" พ.ต.ท.ทักษิน ระบุ


        ผู้สื่อข่าวรายงานระหว่างวีดีโอลิงค์ นายณัฐวุฒิ พยายามขอร้องให้ พ.ต.ท.ทักษินร้องเพลง "ฉันจะกลับมา" แต่ พ.ต.ท.ทักษินอ้างว่าจำเนื้อไม่ได้ ทีมงานจึงได้เปิดเพลงและให้ พ.ต.ท.ทักษินร้องคลอตามไป และเมื่อจบเพลง พ.ต.ท.ทักษินกล่าวว่า "เพลงดังกล่าวตรงกับความรู้สึกในใจว่าสักวันผมจะกลับมาประเทศไทย ถึงแม้จะถูกย่ำยีก็จะอดทนเพื่อรอวันกลับ"


        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรูปภาพที่ พ.ต.ท.ทักษินแจกเป็นที่ระลึกนั้น เป็นภาพถ่ายขนาดโปสการ์ดรูป พ.ต.ท.ทักษินใส่เสื้อ โปโลสีแดง ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม และมีข้อความเขียนด้วยลายมือ พ.ต.ท.ทักษินว่า “ผมจะไม่มีวันลืม น้ำใจอันยิ่งใหญ่ของพี่น้องชาวเสื้อแดงที่มีต่อผมครั้งนี้ครับ” และมีลายเซ็นของ พ.ต.ท.ทักษินและลงวันที่ 17 ส.ค. 2552


        จากนั้นนายณัฐวุฒิก็ระบุว่า เมื่อนายวีระเสร็จขั้นตอนการตรวจสอบฎีกาและกลับมายังเวทีก็จะติดต่อ พ.ต.ท.ทักษินอีกครั้งเพื่อให้นำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี


        ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 14.30 น. นายวีระก็ได้กลับมายังสถานที่การชุมนุมและต่อสายไปยังพ.ต.ท.ทักษิน อีกครั้ง โดยพ.ต.ท.ทักษินได้นำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และไชโยสามครั้ง พร้อมด้วยเปิดเพลง "ฎีกาดับทุกข์ทั้งแผ่นดินอีกครั้ง" หลังจากนั้นนายวีระ จึงได้ให้ประชาชนแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยแกนนำก็ยืนรอส่งผู้ชุมนุมบนเวที


 


ที่มา :
http://www.bangkokbiznews.com/home/
detail/politics/politics/20090817/69326/
ทักษิณอธิษฐาน เลวจริงขออย่าได้กลับเมืองไทย-ปฏิญาณจงรักภักดี.html


 


 


 

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นักโทษหนีคุกสร้างกรรมหนัก สามารถแก้กรรมได้จริงหรือ ???

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


นักโทษหนีคุกสร้างกรรมหนัก

สามารถแก้กรรมได้จริงหรือ ???



          กรรม คือ การทำ เมื่อคนเราทำดีย่อมได้รับผลกรรมที่ดี แต่ถ้าการทำความชั่วย่อมได้รับผลกรรมจากการกระทำเช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน การสร้างกรรมหนัก (ในทางชั่วร้าย) ผลกรรมที่ได้รับก็ย่อมได้รับการตอบสนองหนักหน่วงเช่นเดียวกัน


          การที่ นักโทษหนีคุก พยายามสร้างภาพที่จะแก้กรรม ตัดกรรม (แสดงว่าย่อมรับได้สร้างบาปสร้างกรรมไว้ในแผ่นดินนี้จริง) ซึ่งเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่นักโทษชายและพวกกระทำขึ้นเพื่อหลอกลวงชาวบ้าน เพื่อให้ดูดีเท่านั้นเอง เช่นการแก้กรรมด้วยการทำบุญหลอก ๆ (ไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ) หรือ การทำพิธีหงายบาตรเพราะถูกพระคว่ำบาตร หรือการทำบุญวันเกิด (เพื่อแข่งบารมีกับผู้มีบารมีที่แท้จริง) ตลอดจนการล่ารายชื่อถวายฏีกาให้กับตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การกระทำนั้นกลับสร้างกรรมหนักอย่างมหันต์ เพราะเป้าหมายของการกระทำเป็นลักษณะตีวัวกระทบคราดไปที่เป้าหมาย (ซึ่งผู้คนเข้าใจได้ดีว่าหมายถึงใคร) จึงเป็นการสร้างบาปกรรมอย่างแสนสาหัสของนักโทษหนีคุก เพราะเป็นการกระทำที่เหิมเกริมไม่รู้จักประมาณตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะตีตัวเสมอเจ้า เหาจะกินหัว และกรรมจะตามสนอง


          ก่อนจะแก้กรรมหรือตัดกรรม ขอให้นักโทษหนีคุกทบทวนกรรมที่ได้สร้างไว้กับแผ่นดินนี้ก่อนว่าได้สร้างกรรมหนักขนาดไหน


          1. นโยบายปราบยาเสพติดอย่างเอาเป็นเอาตายของนักโทษหนีคุกเพื่อสร้างภาพให้กับตัวเองด้วยการบังคับขู่เข็ญให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดต้องมีผลงาน และผลงานที่เป็นรูปธรรมของนักโทษหนีคุก คือ การปราบปรามยาเสพติดที่มีตัวเลของคนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก จังหวัดไหนมีคนตายมากถือว่ามีผลงาน ซึ่งในช่วงแรกจังหวัดภาคใต้มีจำนวนคนถูกฆ่าตายน้อย ผู้ว่าราชการถูกตำหนิจากนักโทษหนีคุก หลังจากนั้นคือยอดคนถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลสรุปสุดท้ายปรากฏ มีการฆ่าตัดตอน มีการฆ่าผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวกับยาเสพติด ตายจำนวนไม่น้อยกว่า 2,500 คน (คนตายมากว่าครึ่งหนี่งไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และความจริงคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ควรได้รับการปฏิบัติตามขบวนการยุติธรรมก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ????


          2. กรณีปราบปรามโจรกระจอกสามจัดหวัดภาคใต้ของนักโทษหนีคุก จนก่อให้เกิดการ อุ้มหาย อุ้มฆ่า ยัดเยียดข้อหา สร้างความเคียดแค้นเกลียดชัง จนทำให้ชาวบ้านต้องผันตัวเป็นผู้ก่อการร้าย และทั้งสองฝ่ายต้องเข่นฆ่ากันตายมากกว่า 3,000 คน  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ???


          3. กรณีมัสยิดกรือเซะ ใครสั่งให้นายพลเอกคนหนึ่งที่บัญชาการล้อมมัสยิดอยู่ในขณะนั้น ด้วยการถล่มมัสยิดกรือเซาะด้วยระเบิดจำนวนมาก จนคนในมัสยิดตายหมด ทั้ง ๆ ที่มีวิธีการที่จะจัดการทำได้โดยไม่ต้องมีคนตาย การถล่มอย่างบ้าคลั่งในครั้งนั้น ตายไปหลายสิบคน  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ????


          4. กรณีการชุมนุมของชาวบ้านตากใบ ใครบินไปบัญชาการที่อำเภอตากใบ จนมีการปราบปรามการชุมนุมของชาวบ้านอย่างสงบ ด้วยการรุมกระทืบชาวบ้านอย่างป่าเถือน และผลสุดท้าย มีการขนชาวบ้านไปตายไม่น้อยกว่า 70 คน  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ????


          5. กรณี 7 ตุลาตำรวจฆ่าประชาชน มวลชนคนพันธมิตรประชาชนฯ (ที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หน้ารัฐสภา) แม้ว่าจะหนีคุกเป็นสัมภเวสีเร่รอนอยู่ต่างประเทศ แต่ก็พอเป็นที่เข้าใจได้ว่าใครบัญชาการอยู่เบื้องหลัง ให้จัดการเข่นฆ่าประชาชนบาดเจ็บล้มตายรวมกันไม่น้อยกว่า 400 -500 คน  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตาย คนบาดเจ็บ เหล่านี้หรือยัง ????


          6. กรณีตำรวจไล่กระทืบรุมตีมวลชนคนพันธมิตรประชาชนฯ (ที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยนักโทษหนีคุก) กรณีที่ตำรวจนำเจ้าหน้าที่ศาลไปติดหมายศาลบริเวณถนนราชดำเนิน และตำรวจรุมตีรุมกระทืบประชาชนและทำลายเวทีพันธมิตรประชาชนฯ บาดเจ็บกันไปจำนวนมาก (กรณีนี้ต่างอะไรกับกรณีตากใบ ???)  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนบาดเจ็บเหล่านี้หรือยัง ????


          7. อันธพาลกุ๊ยเสื้อแดง พวกของนักโทษหนีคุก ยกพลจากสนามหลวงรุมทำร้ายมวลชนพันธมิตรประชาชนฯ ที่บริเวณหน้าพระบรมรูปทรงม้าและบนถนนราชดำเนินกลางดึกคืนหนึ่ง จนบาดเจ็บ จำนวนมาก และล้มตาย 1 คน (พวกแดงตายเพราะถูกลูกหลงของพวกตัวเอง)  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายหรือยัง ????


          8. กรณีถล่มด้วยเอ็ม 79 เข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข่นฆ่ามวลชนคนพันธมิตรประชาชน (ที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยนักโทษหนีคุก) ผลปรากฏว่า มีคนตายไม่น้อยกว่า 23 คน และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง (กรณีนี้ต่างอะไรกับการถล่มมัสยิดกรือเซะ ???)  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ????


          9. กรณีนักโทษหนีคุก ปลุกระดมคนเสื้อแดงด้วยการโฟนอินยุมวลชนคนเสื้อแดงว่าอย่ากลับมือเปล่า และผลเป็นอย่างไร พวกเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองกลางกรุง และพวกเสื้อแดงฆ่าประชาชนชุมชนนางเลิ้งตายไป 2 คน ตลอดจนปลุกระดม (โฟนอิน) ให้พวกเสื้อแดงย้อนกลับไปพัทยา และเกิดเหตุการณ์บุกพังโรงแรมล้มการประชุมอาเซียน  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคนตายเหล่านี้หรือยัง ????


          10. กรณีคดีลอบสังหารสนธิ หน้าวัดเอี่ยมฯ บางขุนพรหม ผลการสืบสวนสอบสวนและมีข่าวออกมาว่า เมื่อพวกมือสังหารกระทำการแล้ว มีการโทรศัพท์รายงานผลไปที่ดูไบ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าใครอาศัยหลบหนีคุกอยู่ในขณะนั้น  ก่อนแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้ถามคุณสนธิแล้วหรือยัง ???


          11. กรณีคดีความต่าง ๆ ที่นักโทษหนีคุกจะต้องกลับมาชดใช้กรรม เพราะศาลตัดสินติดคุก และต้องกลับมาต่อสู้ดคีอีกมากมายไม่ต่ำกว่าสิบคดี และหลบหนีหมายจับอีกหลายคดี  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกกลับมารับกรรมติดคุกและต่อสู้คดีที่เหลือแล้วหรือยัง ????


          12. กรณีลบหลู่เบื้องสูง ตีตัวเสมอเจ้า และมีวาระซ่อนเร้นที่จะแก้แค้นบุคคลที่ตัวเองคิดว่าเป็นต้นเหตุทำให้ต้วเองต้องเป็นสัมภเวสีพเนจรหนีคุกอยู่ทุกวันนี้  ก่อนจะแก้กรรม ขอถามว่านักโทษหนีคุกได้สำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีแล้วหรือยัง ????


          จากตัวอย่าง กรรมที่นักโทษหนีคุกได้ก่อขึ้นนั้น เป็นกรรมหนักทั้งสิ้น ด้วยหลักของศาสนา บุคคลใดทำกรรมดีย่อมได้รับผลกรรมดี บุคคลใดทำกรรมชั่วย่อมรับผลกรรมชั่วเช่นกันดังนั้น การทำบุญเพื่อแก้กรรมจึงผิดหลักของศาสนาโดยสิ้นเชิง ถ้าการทำบุญสามารถแก่กรรมตัดกรรมได้จริง นับแต่นี้ไปใครทำบาปทำชั่วฆ่าคนตายก็สามารถรอดพ้นบ่วงกรรม ไม่ต้องติดคุกติดตารางได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนคงไม่กลัวบาปกรรม และจะทำบาปสร้างกรรมหนักเพิ่มมากขึ้นแล้วสังคมนี้จะอยู่ได้อย่างไร


          ดังนั้น ด้วยจิตที่บริสุทธิ์จึงมีความเชื่อมั่นว่า นักโทษหนีคุกจะต้องรับกรรม และกรรมจะตอบสนองอย่างแสนสาหัส และกรรมนั้นใกล้ถึงตัวของนักโทษหนีคุกมากขึ้นและเร็วขึ้น เพราะคนทั่วไปทำผิดรู้จักสำนึกผิด แต่นักโทษหนีคุกไม่สำนึกผิด มีแต่สร้างกรรมหนักมากขึ้นมากขึ้นทุกเวลานาที จึงขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนที่ยึดในหลักศาสนา สบายใจได้ว่า ในเร็ว ๆ นี้จะได้เห็นคนทำชั่ว โกงชาติ ขายแผ่นดิน เข่นฆ่าประชาชน จะต้องรับกรรมหนักอย่างแน่นอน เพราะไม่สามารถหนีกรรมที่ก่อขึ้นได้ ด้วยการแก้กรรมตัดกรรมแบบลวง ๆ แบบหลอก ๆ แบบคนขาดสติ


          โดยเฉพาะ พระสงฆ์องค์ใดรับทำพิธีแก้กรรมตัดกรรมให้กับนักโทษหนีคุกนั้น ขอถามว่า ยังยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ เพราะความจริงพระควรสอนคนทำผิดหลงผิดให้ทำกรรมดีเลิกทำกรรมชั่ว แต่กลับไปสนับสนุนทำพิธีตัดกรรมให้กับคนทำกรรมไม่ดี ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและสับสนเกิดความเชื่อว่าทำผิดทำกรรมชั่วแล้วสามารถทำพิธีตัดกรรมแก้กรรมได้


          บ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไรถ้าพระสงฆ์องค์เจ้ายังเข้าไม่ถึงคำสอนของศาสนา และไม่สามารถแยกผิดชอบชั่วดีแล้วจะสั่งสอนชาวบ้านได้อย่างไร



ประชาชน
27 กรกฎาคม 2552
.................



ที่มา : ความคิดเห็นที่
56
ท้ายข่าว ร่วมต้าน
ฎีกาเถื่อน” “ศัตรูของแผ่นดิน
เปิดเกมรุกสถาบันฯ
โดย นกหวีด
26 กรกฎาคม 2552 23:22 น.

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID
=9520000084568


ภาพ...จากเกสต์บุ๊กหน้าบ้าน PAD Multiply
โดย น้อง
pinmemo
http://padmultiply.multiply.com/


 

แถลงการณ์กระทรวงยุติธรรม เรื่อง การทำความเข้าใจที่ถูกต้องกรณีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 



 


แถลงการณ์กระทรวงยุติธรรม


เรื่อง การทำความเข้าใจที่ถูกต้องกรณีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา


ขอพระราชทานอภัยโทษ


 


        จากกรณีที่ประชาชนจำนวนมากถูกชักชวนให้ร่วมลงชื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลนั้น กระทรวงยุติธรรมขอชี้แจงว่าการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระราชอำนาจ จึงเห็นควรชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนดังนี้


        ๑. สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพของปวงชนชาวไทย  และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้รับรองสถานะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของชาติและทรงอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับพสกนิกรของพระองค์ ขณะเดียวกันกฎหมายก็ได้ยอมรับขนบธรรมเนียมของชาติที่ให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระเมตตา มีพระราชอำนาจในการอภัยโทษได้  แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นไปตามกรอบและกระบวนการตามกฎหมาย  ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๕๙ และระเบียบปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ที่ผ่านมา ผู้ที่มีสิทธิและสามารถจะขอพระราชทานอภัยอภัยโทษได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติว่าจะต้องเป็นตัวของผู้ต้องคำพิพากษาของศาลให้รับโทษทางอาญา  หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ได้แก่ บิดามารดา คู่สมรส บุตรหลาน หรือญาติที่ใกล้ชิดเท่านั้นเป็นผู้ยื่นแสดงความจำนงขอพระราชทานอภัยโทษตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย  โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของขั้นตอนการดำเนินการและประวัติความประพฤติตลอดจนความร้ายแรงของการกระทำความผิดของผู้ต้องคำพิพากษาเพื่อทำความเห็นประกอบการทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย


        ๒. กระบวนการทางกฎหมายข้างต้นนี้เป็นวิธีปฏิบัติที่ผ่านมาของกรมราชทัณฑ์ และกระทรวงยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่เคยปฏิบัตินอกเหนือจากนี้  ดังนั้นประเด็นสำคัญคือ ลำพังเพียงผู้ต้องคำพิพากษา บิดามารดา คู่สมรส บุตรหลาน หรือญาติที่ใกล้ชิดเพียงคนเดียวก็สามารถดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษได้แล้ว  ไม่จำเป็นต้องใช้ประชาชนที่ไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นจำนวนมากมาลงชื่อ ทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าผู้ดำเนินการซึ่งทราบว่าไม่มีสิทธิและทำไม่ได้นั้นมีวัตถุประสงค์อะไรในการดำเนินการเช่นนี้  หรือเพียงเพื่อตั้งใจให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อนเพื่อวัตถุประสงค์อื่นทางการเมือง


        ๓. กระทรวงยุติธรรมเชื่อว่า  พสกนิกรชาวไทยทั้งปวงมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และไม่มีความประสงค์จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันหลักของชาติมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง  และผู้ที่ร่วมลงชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษกับกลุ่มคนดังกล่าวอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนถึงหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอพระราชทานอภัยโทษและคาดไม่ถึงว่าจะถูกนำไปผูกโยงกับความขัดแย้งทางการเมืองและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท   ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมจึงขอทำความเข้าใจกับประชาชนชาวไทยที่มีความรักชาติ  และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ถึงกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการขอพระราชทานอภัยโทษ  และหากพี่น้องชาวไทยได้รับทราบและเข้าใจข้อเท็จจริงนี้แล้วคิดว่าการลงชื่อดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นและวัตถุประสงค์ของท่านก็ขอให้ท่านดำเนินการถอนชื่อของท่านออกจากกระบวนการดังกล่าวก็จะเป็นแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม



กระทรวงยุติธรรม


๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒


 


ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม
http://www.moj.go.th/th/cms/detail.php?id=8524


 


 


* * * * *
ฝากช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลต่อด้วยค่ะ
* * * * *


 


 

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"บุญบังเอิญ" เชิญอนุโมทนาบุญ





 

บุญบังเอิญ



       
สี่ทุ่มกว่าคืนก่อนวันแม่ ฉันแวะกินบะหมี่ร้านข้างถนนเจ้าประจำก่อนเข้าบ้านหลังเลิกงาน ขณะกำลังนั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์หัวสีเรื่อง
ถวายฎีกา (กินอิ่มแล้ว แต่ขออ่านหนังสือพิมพ์ฟรีก่อน) ผู้ชายหนวดเครารุงรังคนหนึ่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าหน้าตามอม ๆ ดูไม่ออกว่าเมาหรือสติไม่ดีเดินเข้ามาในร้าน พูดอะไรกับคนขายบะหมี่พลางชี้ชวนให้ชะโงกดูในถุง

        ด้วยความอยากรู้ ฉันวางหนังสือพิมพ์ ลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปดูให้หายสงสัย


        ซื้อปลาดุกมั้ย ได้มาสองตัว ผู้ชายคนนั้นถาม (ได้มาจากไหนกัน ฉันยังสงสัย)

        เราซื้อไปปล่อยกันมั้ยฉันหันมาถามน้องคนขายบะหมี่ที่กินกันประจำจนคุ้นเคยขนาดแบ่งปันหนังสือธรรมะกันอ่านบ่อย ๆ

        มันตายตัวนึงนะ เดินมาหลายกิโลฯ เหลือเป็น ๆ ตัวเดียว  เอาไปทั้งสองตัวเลยมั้ย คิดแปดสิบ ผู้ชายคนนั้นเสนอขายต่อ

        ตายแล้วจะเอาไปทำไม จะเอาไปปล่อยในคลองเนี่ย เอาตัวเป็น ๆ ตัวเดียวนั่นแหละ น้องคนขายบะหมี่ตอบ

        ตกลงกันเสร็จสรรพ ฉันจ่ายเงินให้ตาคนนั้นไป ๔๐ บาท เป็นค่าปลาดุกเป็น ๆ ตัวอ้วนโตขนาดข้อมืออ้วน ๆ ของฉัน ๑ ตัว แล้วฉันกับน้องคนขายบะหมี่ก็เดินหิ้วถุงพลาสติกใส่ปลาดุกที่หายใจแผ่ว ๆ ตัวนั้นไปริมคลองใกล้ ๆ ร้านบะหมี่

        เออนะ อยู่ดี ๆ ก็ บังเอิญ ได้เจออีตาคนนี้  เลย บังเอิญ ได้ทำบุญร่วมกัน ฉันบอกน้องคนขายบะหมี่

        ชาติหน้าจะได้มาเจอกันอีกไงพี่ น้องคนขายบะหมี่ว่า

        ชาติหน้าพี่คงเป็นคนขายบะหมี่ แล้วน้องก็เป็นคนมากินมั่งนะ ฉันต่อปากต่อคำด้วย


        ถึงริมคลอง น้องคนขายบะหมี่กับฉันเดินลอดลงไปใต้สะพาน ค่อย ๆ เปิดปากถุง เอาถุงหย่อนลงในน้ำให้เจ้าปลาดุกค่อย ๆ สัมผัสน้ำและว่ายออกจากถุง

        ไปสิ ไปดี ๆ นะ อย่าให้เขาจับมาอีกหละ ฉันบอกเจ้าปลาดุกตัวนั้น

        มันยังงง ๆ ว่ายช้า ๆ วน ๆ หมุน ๆ อยู่ริมฝั่งไม่ไปไหน แถมยังอ้าปากพะงาบ ๆ ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ เหมือนจะหมดเรี่ยวแรง  น้องคนขายบะหมี่ค่อย ๆ วักน้ำสาดให้มันว่ายไปกลางคลอง

        แย่แล้ว !! นั่นมันตาข่ายดักปลานี่นา

        ฉันร้องเสียงหลงเมื่อสายตา บังเอิญ ไปเห็นว่าข้างหน้าตรงที่ปล่อยปลา และปลายังงง ๆ หมุน ๆ อยู่นั้น มีตาข่ายดักปลาขึงอยู่ในน้ำ

        อ้าวเฮ้ย อย่าไปทางนั้น
       
ไปทางนู้นสิ
       
เฮ้ย...เฮ้ย.....
       
ทางนู้น ทางนู้น

        ฉันกับน้องคนขายบะหมี่เอาใจช่วยให้เจ้าปลาดุกตัวนั้นว่ายไปให้พ้นขอบตาข่ายดักปลาที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  แล้วในที่สุดก็โล่งอก เจ้าปลาดุกตัวนั้นว่ายเลยออกไป ไม่หลงไปติดกับดักที่คนวางดักไว้

          จะทำบุญก็ไม่ดูตาม้าตาเรือกันเลยหนอคนเรา เกือบไปแล้ว ฉันบอกน้องคนขายบะหมี่ แล้วพากันเดินกลับร้าน


        ระหว่างเดินไปฉันคิดไป......

        บางทีพวกที่คิดจะช่วยกัน ปล่อยสัตว์ สักตัวหนึ่ง ก็อาจไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ บุญ หรือ บาป

        ว่าแล้วก็กลับไปอ่านหนังสือพิมพ์เรื่องที่อ่านค้างไว้ต่อดีกว่า
 

        อะพี่ หนูขอทำบุญด้วยคนนะ น้องคนขายบะหมี่หยิบแบงค์ ๒๐ บาท ส่งให้ฉัน ๑ ใบ

          มิไยที่ฉันจะบอกว่าไม่เป็นไร น้องเขาก็ขอสมทบทุนร่วมทำบุญ ฉันเลยอนุโมทนาบุญกับน้องเขาไปด้วย

       

ด้วยจิตเมตตาที่ข้าพเจ้าและน้องคนขายบะหมี่
ได้ช่วยชีวิตปลาดุกที่กำลังจะตาย
ให้ได้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป
บุญกุศลนี้จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้า
และน้องคนขายบะหมี่เพียงไร
ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนจงเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญนี้ด้วย เทอญ


และใน วันแม่ วันนี้
ข้าพเจ้าขอให้แม่ของข้าพเจ้าและแม่ของทุก ๆ คน
จงได้รับผลบุญกุศลนี้ของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน

สาธุ สาธุ สาธุ