วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แปลกแต่จริง (ไหม) “พระพุทธรูปหันหลังให้กัน”





 “พระพุทธรูปหันหลังให้กัน


   ป้าหวานฯ...เก็บขี้ปากเขามาเล่า

   “Mookzilla”...เก็บภาพมาให้ดูกัน

 

 

 

 

            มีใครเคยเห็น พระพุทธรูปหันหลังให้กัน ไหม

            เคยเห็นหรือไม่เคยเห็น ก็ล้อมวงกันเข้ามาป้าหวานฯจะเล่าให้ฟังหละ (ติดไว้นานแล้ว เล่าเสียที)

            แต่ต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนว่า เรื่องทั้งหมดนี่ ป้าหวานฯ ได้มาจากการอ่าน การจำขี้ปากเขามาเล่า ทั้งหมดเป็นเพียง ความเชื่อหนึ่ง เป็นคำบอกเล่าสืบต่อกันมา
 

            อ่านแล้วอย่าคิดมาก ถือเสียว่าอ่านเล่นยิ้ม ๆ

            และไม่ลบหลู่ความเชื่อของชาวบ้านนะคะ

 

 

 

"พระพุทธรูปหันหลังให้กัน"

"พระผู้ให้อภัย" เมืองนครสวรรค์

 

            ที่วัดนครสวรรค์ หรือชื่อชาวบ้านเรียกกันว่า วัดหัวเมือง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวนครสวรรค์ ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครสวรรค์ มี พระพุทธรูปหันหลังให้กันเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๒ องค์ ประทับนั่งหันหลังให้กัน องค์หนึ่งหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก อีกองค์หนึ่งหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ชาวบ้านเรียกกันว่า พระผู้ให้อภัย หรือ พระผู้ให้อภัยยิ่ง หรือ พระหันหลังให้กัน
 

            พระพุทธรูปหันหลังให้กัน๒ องค์นี้ สร้างขึ้นแต่เมื่อใดไม่มีบันทึกวันเวลาที่สร้างไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็เก่าแก่พอดูทีเดียวเชียวแหละ ย้อนหลังนับเนื่องไปได้ไกลถึงคราวพม่ายกทัพมาตีกรุงเก่าโน่นเลยทีเดียว (ป้าหวานฯ ไม่ได้พูดเองนา ก็จำมาจากตำนานที่ เขา ว่ากันต่อ ๆ มา)
         

            ปัจจุบัน พระพุทธรูปหันหลังให้กัน ประดิษฐานอยู่ในวิหารเล็ก ๆ ที่เหลือเพียงหลังคา ข้าง ๆ โบสถ์ที่ประดิษฐาน หลวงพ่อศรีสวรรค์พระพุทธรูปประจำเมืองนครสวรรค์ที่ชาวนครสวรรค์เคารพบูชา หลวงพ่อศรีสวรรค์นี่ก็สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๑๘๔๒ โน่นแหนะ
 

            ที่ไม่สามารถสร้างวิหารใหม่ประดิษฐาน พระพุทธรูปหันหลังให้กัน ได้ ว่ากันว่า ชาวบ้านพยายามจะรื้อวิหารสร้างใหม่ แต่ให้มีอันฟ้าผ่าทุกครั้งไป จึงจำต้องปล่อยให้เป็นวิหารไม้ที่มีแต่หลังคา ไม่มีฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน ดังที่เห็น

 

            ทำไมจึงต้องสร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กัน

            ใครเป็นคนสร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กัน

            แล้วเขาคิดอย่างไรถึงสร้าง พระพุทธรูป” ให้ “หันหลังให้กัน

 

 

 

ตำนานแรก

เคยรักกันมาก แต่ไม่รักกันแล้ว

 

            มีตำนานเรื่องเล่าถึงสาเหตุการสร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กันต่อ ๆ กันมา ๒ กระแส
 

            ตำนานแรก เขาว่า ผู้ที่สร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กันคืออ้ายหนุ่มกับอีสาวคู่หนึ่งที่รักกันมากจนตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกัน พอถึงวันแต่งงาน พ่อหนุ่มยกขบวนขันหมากแห่แหนมาบ้านสาว แต่เจ้ากรรมจริง ๆ...เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวดั๊น...เกิดมีเรื่องขัดอกขัดใจทะเลาะวิวาทกันถึงขนาดที่ว่า ชาตินี้ไม่มีวันที่จะคืนดีกันอีกต่อไป (เอาสิ อดเลย)
 

            ตำนานไม่ได้บอกไว้ว่าสาวเจ้าและอ้ายหนุ่มทะเลาะอะไรกัน (ลองคิดเล่น ๆ กันไหม ว่าเขาโกรธแค้นอะไรกันหนอ)
 

            ต่อ...ต่อ...ทีนี้พอสองบ่าวสาวนี่ตัดสินใจว่าไม่ต่งไม่แต่งมันแล้วเฟร้ย แถมยังโกรธกันร้อยปีไม่ต้องมาดีกันร้อยชาติ (มันโกรธอาไรกันหนักหนาฟระ) ก็เลยตกลงใจที่จะสร้างพระพุทธรูป ๒ องค์หันหลังให้กันขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ (เออหนอ...อนุสรณ์แบบนี้ก็มีด้วย....กรรม...)
 

            สรุปว่า ตำนานแรกนี้ เกิดจากคนสองคนที่เคยรักกันมาก พอหันหลังให้กัน ไม่รักกันหละ ก็เลยสร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กันองค์ใหญ่ ๒ องค์ไว้เป็นที่ระลึกเสียเลย....สะจายยยยยยยยยยยย

 

 

 

ตำนานที่สอง

ให้อภัย เลิกจองเวรจองกรรมกัน

 

            ตำนานที่สอง เป็นเรื่องของการให้อภัย เลิกจองเวรจองกรรมกันต่อไป
 

            เรื่องก็ไม่มีอะไรมาก เขาว่า (ไอ้ เขา นี่มันช่างรู้ไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ ถ้าเทียบกับสมัยนี้คงเป็น บั๊ก ๑๑๑๓”) ต่อ...ต่อ...เขาว่า ที่สร้าง พระพุทธรูปหันหลังให้กัน” นี่ ก็เพราะว่า สมัยโน้นแต่ก่อนแต่กี้พม่าเคยยกทัพมาถึงนครสวรรค์ ทีนี้พอสงครามไทยกับพม่าจบลง จะไม่รบกันอีกแล้วหละ พม่าเลยสร้าง พระอภัยหรือ พระอภัยยิ่งที่เป็นพระพุทธรูปหันหลังให้กันนี่ขึ้น (ไว้เป็นอนุสรณ์อีกกระมัง)
 

            แล้ว เขาก็ว่าอีกว่า การที่พม่าสร้างพระพุทธรูปหันหลังให้กันเนี่ย สันนิษฐานว่า อาจหมายถึง การให้อภัยกัน ไม่จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป

 

 

 

"พระพุทธรูปหันหลังให้กัน"
เมืองราชบุรี

 

            ที่พระวิหารหลวงในวัดหน้าพระธาตุ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี ก็มี "พระพุทธรูปหันหลังให้กัน" เหมือนกัน ชื่อ "พระมงคลบุรี" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๘ ศอก ๑ คืบ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น พระพักตร์สุโขทัย พระองค์ยาว พระชานุสั้น หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ด้านหลังองค์พระมงคลบุรีมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง หันหลังให้ หันพระพักตร์ไปทางทิศทิศตะวันตก เรียก "พระรักษาเมือง" 
 

            แต่คติความเชื่อของพระพุทธรูปหันหลังให้กันของที่นี่ ตามความเชื่อของคนสมัยอยุธยา เชื่อกันว่า เป็นการอาราธนาให้ท่านช่วยระวังภัยพิบัติทั้งจากหน้าและหลัง ต่างไปจากตำนานความเชื่อขององค์ "พระอภัย" ที่นครสวรรค์

 

 

 

คำบอกเล่าอื่น ๆ

ตกลงใครสร้าง

 

            นาย Mookzilla” อดีตช่างภาพของอนุสาร อ.ส.ท. คนหนึ่ง ที่ ป้าหวานฯ ให้ช่วยถ่ายรูป พระพุทธรูปหันหลังให้กัน บอกว่า อยู่ข้างวัดมาก็หลายปี คงต้องบอกว่าใกล้เกลือกินด่าง มองจากมุมมองคนผ่านเข้าออก ผมว่าอาจจะเป็นเคล็ดก็ได้ เพราะจริง ๆ มันมีทางเข้าวัดทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นประตูเล็ก ด้านหนึ่งเป็นประตูใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเข้าวัดทางด้านไหน คุณก็จะได้พบพระแน่นอน ผมถือว่าเป็นวิธีคิดที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เป็นสิริมงคลดีครับ
 

            แล้ว นาย Mookzilla” ยังถ่ายภาพแผ่นป้ายตรงฐานพระพุทธรูปหันหลังให้กัน ทั้ง ๒ องค์มาให้ "ป้าหวานฯ" ดูด้วย
 

            แผ่นป้ายตรงฐานพระพุทธรูปหันหลังให้กัน องค์ที่หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เขียนว่า

            พระพุทธรูปองค์นี้ พระภิกษุอาจารย์ภู อรุณมณี สำนักวัดปทุมคงคากรุงเทพฯ กับนางเป้า พูลแย้ม (ผู้พี่ชายและพี่สาวของนายมงคล อินทร) สร้างไว้เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกและญาติพี่น้อง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘
 

            แผ่นป้ายตรงฐานพระพุทธรูปหันหลังให้กัน องค์ที่หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก เขียนว่า

            พระพุทธรูปองค์นี้ นายมงคล-นายทิม อินทร (น้องชายพระภิกษุ อาจารย์ภู อรุณมณี และน้องชายนางเป้า พูลแย้ม) บ้านใต้ วัดนครสวรรค์ สร้างไว้เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกและญาติพี่น้อง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘
 

            เอาหละสิ ตกลงใครสร้างหละนี่

 

 

 

บทส่งท้าย

จะหันหลังให้กัน

หรือหันหน้าเข้าหากัน

 

            ชาวนครสวรรค์คนหนึ่งเล่าให้ "ป้าหวานฯ" ฟังถึงความเชื่อหนึ่งของคนที่นี่ว่า เชื่อกันว่า ใครที่ทะเลาะกัน มีเรื่องบาดหมางใจกัน ถ้าได้ไปกราบ "พระพุทธรูปหันหลังให้กัน" จะทำให้กลับมาคืนดีกันได้ดังเดิม
 

            อ่านจบแล้วใครที่มีเรื่องทะเลาะบาดหมางใจกับคนที่รัก ก็ลองไปกราบ พระพุทธรูปหันหลังให้กันที่นครสวรรค์ดู บางทีจะเลิกหันหลังให้กัน หวนกลับมาคืนดีกัน หันหน้าเข้าหากันได้เหมือนครั้งเก่า


 

            แต่สำหรับ ป้าหวานฯ ขอจบตำนานของ พระพุทธรูปหันหลังให้กันไว้ว่า

 


สาธุ...ไปผุดไปเกิดไกล ๆ

อย่าได้เจอะได้เจอ

อย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไปเลย

ที่ผ่านมาทั้งหมดให้อภัย

 

 

 

 




***** หมายเหตุเพิ่มเติม *****

"สาธุ...ไปผุดไปเกิดไกล ๆ"

หมายถึง
คนไม่ดี คนคิดร้ายต่อบ้านเมือง

ขอให้
"ไปผุดไปเกิดไกล ๆ แผ่นดินไทย"

ชิ่ว...ชิ่ว ว ว ว ว ว ว ว
 
 
 
 

30 ความคิดเห็น:

  1. สาธุ อย่าหมางใจกันเลย อภัย ๆ เมตตาไม่มีประมาณ

    ตอบลบ

  2. ป่าวหมางขะคุณพี่
    ให้อภัยแบบดุ ๆ ไปหน่อยตามพื้นเพจิตใจ...อิอิ

    ตอบลบ
  3. ตามมาอ่านตำแหลก.. เอ้ยตำนานค่า
    มีโอกาสผ่านไปจะแวะไปชมด้วยตาตัวเองเลยค่า

    ตอบลบ
  4. That buddha statue in Thailand...
    I miss home...
    I thought at Nakhonsawan na na'55

    ตอบลบ

  5. จะไปแอบอธิษฐานขอคืนดีกะใครรึป่าวน้อ

    ตอบลบ

  6. ดีจ้าสาวนครสวรรค์
    ตอนนี้พูดไทยไม่ได้ซะแล้วรึ
    คีย์บอร์ดเจ๊งหรอจ๊ะอาร์ต

    ตอบลบ
  7. เป็นเรื่อง เป็นราว ประกอบเป็นเเง่คิดทีเดียว

    ตอบลบ
  8. คนเรา อย่าหันหลังให้กันเลยนะ
    หันหน้า มา ยิ้มให้กันดีกว่า ครับ......

    ตอบลบ
  9. ไม่ว่าเข้าหน้าวัดหรือหลังวัดก็ไม่พ้นจากพระเนตรของพระพุทธรูป มั้งครับ

    ตอบลบ
  10. อ่านแล้วได้แง่มุมดีๆ

    ขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ
  11. คนบางคนก็ต้อง "หันหลังให้" เหมือนกันนะน้องพี่

    ตอบลบ

  12. คนเขียนก็ต้องขอบคุณความคิด ความเชื่อ
    การสร้างสรรค์งานของคนสมัยก่อนด้วยหละขะ

    ดีใจที่มีคนอ่านอ่านแล้วได้แง่มุมดี ๆ
    ขอบคุณเช่นกันขะ

    ตอบลบ



  13. ***** หมายเหตุเพิ่มเติม *****

    "สาธุ...ไปผุดไปเกิดไกล ๆ"

    หมายถึง
    คนไม่ดี คนคิดร้ายต่อบ้านเมือง

    ขอให้
    "ไปผุดไปเกิดไกล ๆ แผ่นดินไทย"

    ชิ่ว...ชิ่ว ว ว ว ว ว ว ว

    ตอบลบ
  14. เข้ามาหาความรู้ พร้อมกับได้มุมมองในชีวิต

    ตอบลบ
  15. ไม่ว่าจะสาเหตุใดๆ ก็น่าสนใจและแฝงเรื่องให้คิดต่อนะครับ

    ตอบลบ
  16. ขอบคุณมาก สำหรับ..เรื่องเล่า ที่เอามาฝากกัน เข้ามากี่ครั้งก็ ไม่เคยอ่านสักที ...จนวันนี ได้ อ่านจนจบ....ดีครับ ขอบคุณมาก ......ปลาทู..............

    ตอบลบ

  17. ขอบคุณขะ
    ที่เข้ามาอ่าน
    และได้อะไรกลับไป

    ตอบลบ
  18. เรื่องราวจากความเชื่อของผู้คนทุกหมู่เหล่า
    น่าสนใจเสมอขะ
    ถ้า "ใจกว้าง" ในการรับฟัง

    ตอบลบ

  19. แบบนี้ค่อยมีกำลังใจหาเรื่องมาโม้ต่อ
    ขอบคุณที่อ่านขะ

    ตอบลบ
  20. สนุกก็ไปเล่าต่อให้ "ครูธูป" ฟังมั่งน้า

    ตอบลบ
  21. ครับผม ป้าหวาน เชิญไปชมรูปใหม่ๆได้ที่เว็บนะครับ ขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ
  22. ป้าจบได้ใจมากครับ

    ตอบลบ
  23. "น้องเน" หมายถึงตรง ***** หมายเหตุเพิ่มเติม ***** หรอจ๊ะ
    ป้าว่าป้าจบดุไปนา...อิอิ

    ตอบลบ
  24. น่าสนใจมากค่ะ เพิ่งได้ทราบนะคะเนี่ยว่ามีพระพุทธรูปในลักษณะนี้ แล้วยังมีตำนาน ข้อสันนิษฐานที่มาที่ไปด้วย เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่ไม่รู้จังเลยค่ะ หามาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ

    ตอบลบ

  25. ขอบคุณที่มีคนสนใจค่ะ
    แบบนี้ค่อยมีกำลังใจหาเรื่องมาโม้ให้ฟังหน่อยค่ะ

    ตอบลบ