วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๑...ด้วยจิตแห่งพระโพธิสัตว์





 



 


พระโพธิสัตว์

ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชหรือนักพรต
หรือเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นใครที่ไหนก็ได้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและต่อเนื่อง
ก็ย่อมได้ชื่อว่า พระโพธิสัตว์


 


เป้าหมายสูงสุดคือ
การได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพุทธะ


 


เพียงแต่ตั้งใจอธิษฐาน
หรือตั้งปฏิญาณ (ปณิธาน)
ต่อสิ่งที่ตนเชื่อมั่น
หรือต่อจิตใจของตนเองว่า
ปรารถนาจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร
ที่ไหน
และเวลาใด


 


แล้วมีความจริงใจจริงจัง
ด้วยความมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเต็มเปี่ยม
ไม่ย่อท้อ ไม่หย่อนยาน
ด้วยความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โยกคลอน
ดังคำคมที่ว่า 


 


"ภูผาสิงขรไม่สั่นไหวด้วยแรงลมฉันใดแล้ว
จิตเมตตาแห่งปณิธานโพธิสัตว์
ย่อมไม่สั่นไหวด้วยความสงสัยลังเลฉันนั้น"


 


 


 


 


 



 


คุณสมบัติ ๘ ประการของพระโพธิสัตว์



            ๑. พระโพธิสัตว์ จักต้องบำเพ็ญตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อปวงสัตว์ โดยไม่ปรารถนารับผลตอบแทนใด ๆ จากสัตว์ทั้งหลาย


            ๒. พระโพธิสัตว์ สามารถเสวยสรรพทุกข์แทนสรรพสัตว์ได้โดยมิย่นย่อท้อถอย


            ๓. พระโพธิสัตว์ สร้างคุณความดีไว้ มีประมาณเท่าไร ก็สามารถอุทิศให้แก่สัตว์ทั้งหลายได้ ไม่หวงแหนตระหนี่ไว้


            ๔. พระโพธิสัตว์ ตั้งจิตอยู่ในสมถธรรมอันสม่ำเสมอในปวงสัตว์ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ถ่อมตนไว้ไม่ลำพองโดยปราศจากความขัดข้องใด ๆ


            ๕. พระโพธิสัตว์ เห็นพระโพธิสัตว์ทุก ๆ องค์ ปานประหนึ่งเห็นพระพุทธองค์ อนึ่ง พระสูตรใดที่ยังมิได้สดับตรับฟัง ครั้นได้มีโอกาสสดับตรับฟังแล้วก็ไม่บังเกิดความคลางแคลงกังขาอย่างไรในพระสูตรนั้น ๆ


            ๖. พระโพธิสัตว์ ไม่หันปฤษฎางค์ให้แก่ธรรมะของพระอรหันตสาวก แต่สมัครสมานเข้ากันได้กับธรรมะดังกล่าวนั้น ๆ


            ๗. พระโพธิสัตว์ ไม่เกิดความริษยาในลาภสักการะ อันบังเกิดแก่ผู้อื่น และไม่เกิดความหยิ่งทะนงในลาภสักการะ อันบังเกิดแก่ตนเอง สามารถควบคุมจิตของตนไว้ได้


            ๘. พระโพธิสัตว์ จักต้องหมั่นพิจารณาโทษของตนอยู่เป็นนิจ ไม่เที่ยวเพ่งโทษโพนทะนา โทษของผู้อื่น ตั้งจิตมั่นคงเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมี รื้อขนสัตว์โลกให้พ้นทุกข์



            นี้แลชื่อว่าคุณธรรมอันเป็นคุณสมบัติ ๘ ประการของพระโพธิสัตว์


        ผู้ใดปฏิบัติได้ตามนี้ ผู้นั้นก็จักได้เป็นพระโพธิสัตว์



 


 


 


 


 



 


 


หมายเหตุ ๑ *


ภาพถ่ายพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
จากมูลนิธิอุบลรังสีจุฬามณี จังหวัดนครปฐม
ขอบคุณ "พี่ป้อม" ภราดา รักตะปุรณะ พี่ช่างภาพ ททท.
พี่ชายที่แสนดี ช่วยถ่ายภาพให้ตามที่ข้าพเจ้าชี้นิ้ว
(แล้ววันหลังจะตบรางวัลพาเที่ยวอีกนะคะ)


 


 



หมายเหตุ ๒
**


ข้อมูลจาก


http://www.tewaracha.com/ceremonial-who-potisut.shtml


และ


"๑๐๘ เทพแห่งสรวงสวรรค์ ฉบับ กวนอิมโพธิสัตว์"


http://www.guanim.com/html/Other/Potisat/Pkunsambat8.html


 


 




หมายเหตุ ๓
***



สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๑


ขอบุญญาภินิหารแห่งพระโพธิสัตว์
ดลบันดาลให้ทุกคนมีจิตที่งดงาม
เยี่ยงจิตพระโพธิสัตว์


 


บุญรักษา-ธรรมะคุ้มครอง
ทุกคนจ้า


 


สาธุ...สาธุ...สาธุ...


 


 


 


 




 


 


 

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

รฦกถึง "เจ้าตาก" และ "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร"





 



 


๒๘ ธันวาคม


วันแห่งการรฦกถึง เจ้าตาก


และ กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร


 


 


            ย้อนหลังไปเมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด สัมฤทธิศก ๑๑๓๐ ตรงกับวันพุธที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือในพระนามของ เจ้าตาก ที่ว่ากันว่าทหารผู้จงรักภักดีของพระองค์ มักออกพระนามพระองค์เช่นนั้น ทรงสถาปนาเมืองธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา และพระราชทานนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร


            ปัจจุบันทางการได้ถือเอาวันที่ ๒๘ ธันวาคม เป็น วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


            วันที่ผู้ยังภักดีและจดจำรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อ เจ้าตาก ยังคงรฦกถึงเสมอ


 


            เหตุที่ เจ้าตาก ทรงตัดสินพระทัยย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามายังเมืองธนบุรี ก็เพราะแม้กรุงศรีอยุธยาจะอยู่ในชัยภูมิที่ดี มีน้ำล้อมรอบ แต่ก็ยากแก่การป้องกันข้าศึกศัตรู ด้วยข้าศึกรู้ลู่ทางเป็นอย่างดีเสียแล้ว อีกทั้งไพร่พลทหารของพระองค์ก็มีไม่มากพอ และกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายย่อยยับจนยากเกินกว่าจะบูรณะให้คืนดีดังเดิม


            เจ้าตาก จึงทรงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี เพราะนอกจากเมืองธนบุรีจะตั้งอยู่บนเกาะเหมือนกรุงศรีอยุธยา มีคลองมาก น้ำมาก ดินดี เหมาะแก่การเกษตรกรรม สามารถทำไร่ทำสวนได้ตลอดทั้งปีแล้ว ยังมีวัดเก่ามากมาย ไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานสร้างวัดขึ้นมาใหม่ ประกอบกับเหตุผลอื่น ๆ อีก ได้แก่


 


            ประการแรก เรื่องการรับมือข้าศึกศัตรู เมืองธนบุรีเป็นเมืองที่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน หากมีข้าศึกศัตรูบุกมา สามารถลงเรือหนีไปตั้งหลักที่เมืองจันทบุรีได้ อีกทั้งเมืองธนบุรีมีป้อมเก่าที่สร้างไว้แต่ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ ป้อมวิชัยประสิทธิ์และป้อมวิไชเยนทร์ ซึ่งยังพอที่จะใช้ป้องกันข้าศึกได้


            ประการต่อมา เรื่องการค้า เมืองธนบุรีตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นเส้นทางค้าขายของหัวเมืองทางเหนือ จึงเป็นการกันมิให้หัวเมืองเหล่านั้นตั้งตนเป็นใหญ่ ซื้อหาอาวุธจากต่างชาติทางหนึ่ง และเมืองธนบุรียังตั้งอยู่ใกล้ทะเล ทำให้สะดวกแก่การค้าโดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าลงเรือเล็กไปขึ้นเรือใหญ่เหมือนกรุงศรีอยุธยา


 


            พระราชภาระในการฟื้นฟูทำนุบำรุงบ้านเมือง รวมทั้งขวัญและกำลังใจของผู้คนหลังจากบ้านแตกสาแหรกขาดของ เจ้าตาก คงเป็นพระราชภาระที่หนักอึ้งไม่น้อย


            เป็นธรรมดาของ คนถางทาง


            แต่แม้ เจ้าตาก จะต้องทรงเหนื่อยหนักกับการทำนุบำรุงบ้านเมืองในทางโลก หากก็ไม่ทรงละเลยพระราชกิจในทางธรรม


 


            กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร เป็นราชธานีของสยามประเทศได้เพียง ๑๕ ปี ก็ถึงกาลอวสานลงในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ พร้อม ๆ กับ เจ้าตาก ผู้ทรงสถาปนาราชธานีแห่งนี้ ก็เสด็จสวรรคตในปีเดียวกันนั้น เมื่อวันเสาร์ เดือน ๔ แรม ๙ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕


 


 


บุญกุศลใด


ที่ข้าพเจ้าเคยทำมา


ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ


และที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคต


ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้


ข้าพเจ้าขออุทิศถวายแด่


เจ้าตาก


และเหล่าไพร่พลทหารของ เจ้าตาก


ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ


และความเสียสละอันยิ่งใหญ่


ของบรรพบุรุษไทย


 


 


......................................................................


ด้วยเลือดด้วยเนื้อของคนทำทาง


ถางทางตั้งต้นให้คนต่อไป


(จากเพลง คนทำทาง ของ คีตาญชลี)
......................................................................


 


 


 



            อันตัวพ่อ        ชื่อว่า             พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก               กู้ชาติ            พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน             ให้เป็น           พุทธบูชา
แด่พระศาสนา            สมณะ           พุทธโคดม


          ให้ยืนยง          คงถ้วน          ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี        ปฏิบัติ           ให้พอสม
เจริญสมถะ                วิปัสสนา         พ่อชื่นชม
ถวายบังคม                รอยบาท         พระศาสดา


          คิดถึงพ่อ         พ่ออยู่            คู่กับเจ้า
ชาติของเรา                คงอยู่            คู่พระศาสนา
พุทธศาสนา                อยู่ยง            คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา                 ฝากไว้           ให้คู่กัน


 


จารึกในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร
ไม่ปรากฏนามผู้แต่งผู้ควรค่าแก่การคารวะ


 


 


 


ภาพ เจ้าตาก ภาพที่ ๑-๓ ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
ภาพ เจ้าตาก ภาพที่ ๔-๖ มูลนิธิอุบลรังสี จังหวัดนครปฐม
ภาพ เจ้าตาก ภาพที่ ๗-๙ วัดหทัยนเรศวร์ จังหวัดนครปฐม
(ปัจจุบันถูกย้ายไปไว้ที่จังหวัดหนึ่งในทางภาคใต้)


 


 


เพลง "คนทำทาง" - "คีตาญชลี"






วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550

บั น ทึ ก คว า ม ท ร ง จำ . . . "พระพุทธจิตตโสภา" พระพุทธรูปส่วนตัวองค์แรกองค์เดียวของฉัน

 


คำขอขมาพระรัตนตรัย


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ


          หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
          ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

 

 


 

 


พระพุทธจิตตโสภา

พระพุทธรูปส่วนตัว
องค์แรกองค์เดียวของฉัน

 

 

 

 

๑...

เป็นที่รู้กัน
ในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทว่า ปกติฉันเป็นคนไม่ชอบสะสมพระพุทธรูป แม้แต่พระคล้องคอฉันก็ไม่ยอมคล้องมาแต่เด็ก พ่อ-แม่จะบังคับให้คล้องไว้ ฉันก็จะแอบแกะออก ไม่ก็สร้อยขาดบ้าง พระหายบ้าง ก็คันคอบ้าง คอไหม้บ้าง (เมื่อก่อนเข้าวัดบางทีก็คอไหม้ อันนี้เรื่องจริง ถามเพื่อนที่เคยเห็นมาแล้วได้)

            โตขึ้นมาใครให้พระคล้องคอให้เหรียญพระฉันมา ฉันก็มักนำไปให้คนอื่นต่อ จะเก็บไว้บ้างก็เฉพาะที่มีคุณค่าทางใจต่อฉัน เช่น คนที่รักให้มาเพราะ รัก เพราะ ห่วง จากความเชื่อส่วนบุคคลของเขา ยามที่ฉันประสบกับสถานการณ์ในชีวิตที่ย่ำแย่ปางตาย หรือบางองค์ที่ความรู้สึกบางอย่างในใจบอกฉันว่า ต้องรับนั่นแหละฉันถึงจะยอมรับไว้อย่างแกน ๆ

            ฉันไม่เคยอยากรับเพราะความงาม ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ หรือคุณวิเศษ ทางโลก ตามที่มีผู้ร่ำลือฮือฮากัน

            แล้วเหตุอันใดฉันจึงมีพระพุทธรูปส่วนตัว ซึ่งเช่าหามาเองเสียด้วย (ขนาดให้ฟรียังไม่รับ แต่นี่ลงทุนเช่ามาเลย แปลกไหม)



๒...

พระพุทธจิตตโสภา
คือพระพุทธรูปนาคปรกส่วนตัวองค์แรกองค์เดียวของฉัน ที่ฉันถึงกับยอมควักเงินเช่ามา และยังบังอาจมาตั้งพระนามพระพุทธรูปเองเสียด้วยในภายหลัง

            ฉันไปพบพระพุทธรูปองค์นี้เข้าโดยบังเอิญที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ฉันดูไม่เป็นหรอกว่า เป็นพุทธศิลป์ศิลปะช่างแบบไหน งามหรือไม่อย่างไร เป็นของเก่าหรือของใหม่ ซึ่งฉันก็ไม่สนใจเงื่อนไขเหล่านี้อยู่แล้วด้วย

            ฉันสะดุดใจและอิ่มเอิบใจในฉับพลัน กับนาคปรกเศียรเดียวที่แกะอย่างเรียบง่าย พระพักตร์ของพระพุทธรูปที่ยิ้มสงบเย็นเปี่ยมเมตตากับฉัน  และที่สำคัญเป็น พระไม้ ที่ฉันเคยคิดเสมอว่า หากฉันจะมีพระพุทธรูปส่วนตัวกับเขาสักองค์ ฉันจะรอ พระไม้

            ฉันชอบ พระไม้ ของคนอีสานคนลาว ที่สร้างอย่างดิบ ๆ ซื่อ ๆ เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยพลังศรัทธา ฉันรอ แต่ฉันก็ไม่เคยดิ้นรนหา



๓...

จะเล่าให้ฟัง
ถึงที่มาของพระพุทธรูป
พระพุทธจิตตโสภา องค์นี้

            เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ฉันเดินทางไปทำงานที่จังหวัดลพบุรี น้องเจ้าถิ่นกลุ่มหนึ่งพาฉันไปวัดเก่าแห่งหนึ่ง ขณะกำลังดูโบสถ์มหาอุดกันอยู่ หลวงพ่อรูปหนึ่งเดินเข้ามาแล้วชวนพวกฉันเข้าไปนั่งพักในกุฏิท่าน เมื่อเข้าไปถึงกุฏิท่าน น้องคนหนึ่งที่ไปด้วยก็สะกิดฉันให้ดูพระพุทธรูปองค์นี้

            ฉันเห็นปุ๊บอยากได้ขึ้นมาจับใจ เลยรวบรวมความกล้าบอกกับหลวงพ่อว่า

            หนูไม่เคยมีพระพุทธรูปส่วนตัวของหนูเองเลยค่ะ และไม่เคยอยากมีด้วย แต่พระพุทธรูปองค์นี้ ทำไมหนูอยากบูชากลับไปบ้านก็ไม่รู้ค่ะ หลวงพ่อให้หนูบูชาไปนะคะ (ชัดเจน ตรงประเด็น)

            หลวงพ่อท่านอมยิ้มแล้วตอบว่า ท่านไม่ได้ให้เช่าพระ ฉันก็ตอบท่านไปว่า ก็ไม่ได้เช่านี่คะ หลวงพ่อก็ให้หนูบูชาไป แล้วหนูก็ถวายเงินหลวงพ่อทำบุญร่วมสร้างโบสถ์ใหม่ ตอนนั้นทางวัดกำลังสร้างโบสถ์ใหม่

            หนูไม่เคยอยากได้อยากมีนะคะหลวงพ่อ นี่เป็นองค์แรกเลย ฉันตื๊อแล้วถามต่อว่า หลวงพ่อเช่ามาจากไหน แพงมั้ยคะ

            หลวงพ่อตอบว่า องค์นี้ท่านเช่ามาไว้บูชาของท่าน มาจากชายแดนเขมร เช่ามา ๓,๐๐๐ บาท



๔...

เอาหละสิ
๓,๐๐๐ บาท ยามนี้ตังค์หมด เหลือไม่ถึงสองพัน เอาไงดีหว่า ฉันคิดในใจ แต่หลวงพ่ออมยิ้ม แล้วชี้ไปที่พระพุทธรูปทางขวามือท่าน พร้อมกับบอกว่า
ลองไปยกพระ แล้วอธิษฐานอะไรก็ได้ ว่าจะยกขึ้นมั้ย

            ฉันไปยกพระพุทธรูปอธิษฐานตามที่หลวงพ่อบอก แล้วกลับไปหาท่าน พระพุทธรูปหนักอึ้งอยู่เหมือนกัน แต่ฉันยกขึ้น

            หลวงพ่ออมยิ้มแล้วถามว่า อธิษฐานอะไร

            ขอให้หลวงพ่อยอมให้บูชาพระไม้องค์นี้กลับบ้านในราคาพันสอง ฉันตอบเสียงดังฟังชัดหนักแน่น (ขอขมากรรมพระรัตนตรัยที่บังอาจตีราคาพระพุทธรูป แต่อยากได้มาบูชาที่บ้านจริง ๆ)

            คราวนี้หลวงพ่อหัวเราะ ไม่อมยิ้มแล้ว และบอกฉันว่า ไปยกมา แล้วท่านก็รับพระพุทธรูปไปเจิมและสวดมนต์อะไรสักพัก ก็ส่งกลับมาให้ฉัน ฉันเลยถวายเงินไปร่วมสร้างโบสถ์ไป ๑,๔๐๐ บาท (เกินกว่าที่อธิษฐานไป ๒๐๐ บาท และคิดในใจว่า วันหลังรอมีตังค์ก่อนจะกลับไปถวายคืนอีก ๑,๖๐๐ บาท)

            หลวงพ่อท่านบอกว่า จริง ๆ ท่านไม่ได้มีพระพุทธรูปไว้สำหรับให้เช่า แต่ท่านก็ต้องการปัจจัยสร้างโบสถ์ ฉันก็บอกหลวงพ่อว่า ฉันก็ไม่ใช่คนอยากสะสมพระพุทธรูปเหมือนกัน แต่พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นองค์แรกที่ฉันอยากได้ไปบูชา



๕...

กาลผ่านไป
ฉันบังอาจตั้งพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า
พระพุทธจิตตโสภา (แอบเอาชื่อตัวเองมาร้อยไว้ด้วย) ฉันไม่รู้ว่าถูกต้องตามหลักไวยากรณ์บาลีหรือเปล่า แต่ฉันอยากจะสื่อความหมายไปในเชิงที่ว่า พระพุทธรูปที่ (ทำให้ฉันมี) จิตใจงดงาม (ฉันหมายถึง จะทำ ให้ฉันมีจิตใจงดงาม หมายถึงวันหนึ่งข้างหน้า ฉันคงจะ มีจิตใจงดงามได้)

            อันที่จริงฉันจะไปหาครูสอนภาษาล้านนาฉันที่ท่านสอนอยู่มหาจุฬาฯ ให้ท่านช่วยตั้งพระนามพระพุทธรูปให้ เพราะท่านเก่งทางบาลี แต่ก็ไม่ได้ไปเสียที เลยขอใช้พระนามนี้ไปก่อนละ



๖...

เหตุที่ฉันตั้งพระนามนี้
ก็เพราะว่า ตั้งแต่ได้
พระพุทธจิตตโสภา องค์นี้มาบูชา เหลือเชื่อว่า ฉันไม่อยากออกจากบ้านไปเที่ยวไหน แม้แต่ไปเที่ยวกับเพื่อนในกรุงเทพฯ นี่เอง ฉันก็อยากจะกลับบ้านมานั่งสมาธิหน้า พระพุทธจิตตโสภา ของฉัน

            หากต้องไปไหน ถ้ากลับมาในวันนั้นไม่ได้ ต้องค้างคืน เช่น ไปทำงานที่ต่างจังหวัด ไปบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด ตกกลางคืน ฉันเป็นต้องสร้างมโนภาพว่าฉันกลับมานั่งสมาธิอยู่หน้า พระพุทธจิตตโสภา แล้วทำสมาธิไปอย่างอิ่มสุข

 

            นอกจากพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ที่ถ่ายทอดวิชาทางธรรมให้แก่ฉัน จนฉันค่อย ๆ เป็นผู้เป็นคนกับเขาขึ้นมาได้บ้าง และครูบาอาจารย์อีกหลายท่านแล้ว พระพุทธจิตตโสภา ก็มาช่วยเสริมให้ฉันได้ปฏิบัติธรรมและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น

            ฉันเริ่มค่อย ๆ ปฏิบัติธรรมมากขึ้น ค่อย ๆ กะเทาะกิเลสที่พอกหนาออกไปได้บ้าง ซึ่งแม้จะเพียงแค่กระผีก แต่สำหรับฉันและพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง ที่เฝ้ามองฉัน ได้แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญมากโขแล้ว



๗...

ทั้งหมดที่เล่ามานี่
ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันเป็น
คนดี

            ฉันก็แค่ เริ่ม ที่จะ ฝึก เป็น คนดี

            ฉันแค่ อยากดี กับเขาบ้าง

            ฉันอยากลองฝึกเป็นชาวพุทธจากการ ปฏิบัติ แทนการเป็นชาวพุทธจากการรับ มรดก มาจากพ่อ-แม่ตั้งแต่เกิด ดังคำครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้

            โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่า จะมีวันที่กิเลสหนา ๆ กร่อนไปจากกายฉันหมดหรือไม่

            หรือบางทีมันอาจจะพอกพูนขึ้น....ฉันไม่รู้

 

            ฉันรู้แค่เพียง พระพุทธจิตตโสภา ถูกประทานมาให้ฉัน “ฝึกจิต ให้ งดงามให้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า

 

            เพื่ออะไร

            ฉันขอไม่บอก

 

           

 

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พระพุทธรูปส่วนตัว "พระพุทธจิตตโสภา"



 




คำขอขมาพระรัตนตรัย



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ



สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ



          หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
          ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ








“พระพุทธจิตตโสภา”
พระพุทธรูปส่วนตัวองค์แรกองค์เดียวของฉัน



มีที่มาที่ไปอย่างไร
ทำไมจึงมีพระนามว่า "พระพุทธจิตตโสภา"
เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว




ต า ม ไ ป อ่ า น ต่ อ ที่ นี่ . . . ค ลิ ก เ ล ย








 




คำขอขมาพระรัตนตรัย



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ



สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ



          หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
          ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ








“พระพุทธจิตตโสภา”
พระพุทธรูปส่วนตัวองค์แรกองค์เดียวของฉัน



มีที่มาที่ไปอย่างไร
ทำไมจึงมีพระนามว่า "พระพุทธจิตตโสภา"
เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว




ต า ม ไ ป อ่ า น ต่ อ ที่ นี่ . . . ค ลิ ก เ ล ย



วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ถ้ำมอง..."จอม (แมว) ขมังเวทย์"










ถ้ำมองแมว






            ภาพชุด ที่ผ่านมา “องครักษ์พิทักษ์เสด็จในกรม” แอบดู “แมววัด” กันไปแล้ว คราวนี้มาแอบดู “แมว (ข้าง) บ้าน” กันมั่ง
            (ภาพชุดบ้านเรามีแต่แมวบ้าน แมววัด หน้าตาบ้าน ๆ ไม่ไฮโซเหมือนแมวบ้าน “คุณ Zembe” http://namana.multiply.com เค้า อิจฉาเฟร้ย)


            บ้านเรา ไม่ได้เลี้ยงแมว เพราะเราไม่ใช่คนชอบแมว (แต่ไม่รู้ทำไมเวลาขีดเขียนอะไรเล่น ออกมาเป็นแมวซะทุกทีสิน่า) อาจเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ เราเคยเลี้ยงแมว แล้วโดนแมวที่เราเลี้ยงกัด ขณะที่หมาที่เราเลี้ยงไม่เคยกัดเรา


            รวมภาพ “ถ้ำมองแมว” ชุดนี้ ไม่ใช่แมวเรา แต่เป็นแมวข้างบ้าน ที่ชอบมาแอบนอนผึ่งแดดบนหลังคาบ้านเรา
            แล้วตอนกลางคืน จะมีเจ้าตัวหนึ่ง ชอบโผล่หน้ามายืนเยี่ยม ๆ มอง ๆ ดูเราทำงานข้างหน้าต่างห้องเรา (พวก “ถ้ำมอง” นินา) หน้าตาท่าทางมันเหมือน “จอม (แมว) ขมังเวทย์” อย่างไรไม่รู้ (ตัวนี้โดนใจเรามาก...ชอบ...ชอบ เพื่อนซี้ยามดึก)


            เวลา “เจ้าจอม (แมว) ขมังเวทย์” ตัวนี้ย่องมาแอบดู เราจะถามมันว่า “ใครหงะ มายืนทำไม มาแอบดูอะไร รู้จักกันหรอ” มันก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ยืนเอียงคอมอง จนเราต้องบอกว่า “ไม่คุยด้วยแล้วนะ จะทำงาน” นั่นแหละ มันถึงหันหลังกลับเดินคอตกหายไป (รู้เรื่องนะ ไม่ใช่แมว ๆ)
            รูป “จอม (แมว) ขมังเวทย์” ที่เห็นนั่น เราถ่ายไว้นานแล้ว สองสามวันก่อนป้าข้างบ้านเจ้าของ “เจ้าจอม (แมว) ขมังเวทย์” ของเรา เพิ่งบอกว่ามันหายไปจากบ้านหลายวันแล้ว


มีใครเห็น
“เจ้าจอม (แมว) ขมังเวทย์”
ผ่านไปเยี่ยม ๆ มอง ๆ
ข้างหน้าต่างบ้านใคร
ยามค่ำคืนที่ดึกสงัดไร้ผู้คน
บ้างไหมเอ่ย

หง่าว ว ว ว ว ว ว ว ว ว ว
แผล็บ บ บ บ บ บ บ บ
!!!!!!!!!!!!!!!








วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550

องครักษ์พิทักษ์เสด็จในกรมฯ











องครักษ์พิทักษ์เสด็จในกรมฯ




           วันสงกรานต์ที่ผ่านมา ไปช่วยงานที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) แล้วมีเหตุให้ต้องไปป้วนเปี้ยนแถวพระวิหารคดกรมหลวงชุมพรฯ บ่อย ๆ

           ตอนนั้นทางวัดกำลังซ่อมแซมบูรณะพระวิหารคดฯ ทำให้ต้องย้ายพระรูปเสด็จในกรมฯ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ออกมาไว้ข้าง ๆ พระวิหารคดฯ ตรงที่จำหน่ายบัตรผ่านประตู (สำหรับชาวต่างชาติ) ชั่วคราว ใครจะมากราบไหว้เสด็จในกรมฯ ก็ต้องผ่านที่จำหน่ายบัตรผ่านประตูเข้ามา

           เราไปป้วนเปี้ยนอยู่หลายวัน ทุกวันก็จะเจอประดาเจ้าหมู่แมวพวกนี้เต็มไปหมด

           “เออหนอ ดูราวกับมานั่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สถานที่ให้เสด็จในกรมฯ” เราคิดเล่น ๆ ในใจ

           ประดาเจ้าหมู่แมวพวกนี้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน เริ่มแต่ประจำโต๊ะจำหน่ายบัตรผ่านประตู ประหนึ่งจะตรวจตราปลดอาวุธผู้ผ่านเข้าออกเป็นด่านแรก

           สองตัวหมอบเฝ้าราวกับนายทวารบาล (อ่านว่า นาย-ทวา-ระ-บาน ห้ามอ่าน นาย-ทวาน-บาน) ซ้าย-ขวา ตรงทางเดินหน้าทางเข้า

           หลายตัวกระจายกำลังกันนั่งเฝ้าหมอบเฝ้าอยู่รายรอบ บ้างก็เฝ้าหน้าพระรูปไม่ห่าง

           บางตัวท่าทีขะมักเขม้นแข็งขันนั่งหลังตรงเชียว แต่แอบหลับยาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!!

           บางตัวซุ่มนะ โน่น ไปแอบซุกหุ้น เอ้ย! ซุกกายซุ่มอยู่ตามแจกันพุ่มดอกไม้หน้าพระรูป ("ร้อยตำรวจเอกแมว" ปลอมตัวมามั้ง...หุหุ) มาซุ่มทำไม ที่แท้ก็ซุ่มหลับหนะ

           ไม่มีเรื่องราวอื่นใดมากไปกว่านี้
          เอามาแบ่งให้ดูเล่นยิ้ม ๆ จ้า





วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

"มาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง"




พี่เค้ากำลังอยู่ในภวังค์บรมสุข
(กำลังตั้งใจฟังอยู่หนะ)
หนุนขา (เทียม) ต่างหมอน







 


เพลง “อธิษฐาน”
พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ...ประพันธ์
ณัฐ ยนตรรักษ์...เปียโน พ-วงเดือน ยนตรรักษ์...ขับร้อง

กราบคารวะ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ
ท่านครูที่เคารพรักยิ่งของข้าพเจ้า

(แม้จะไม่เคยเป็นศิษย์เป็นครูที่พบหน้ากันในชาตินี้)








เรื่องยิ้ม ๆ


มาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง


 


๑....
ค่ำคืนหนึ่ง ในปีหนึ่ง ในม็อบหนึ่ง กลางสนามหลวง
             ชายขาพิการสวมกางเกงขาสั้นสีแดง เสื้อสีเหลือง ใส่ขาเทียมสูงขึ้นมาถึงต้นขา มีไม้ค้ำยันประคองกายเดินเข้ามาในบริเวณที่เรากับเพื่อนนั่งอยู่
             พอเลือกที่ได้เหมาะใจ หลังจากหันรีหันขวางอยู่สักหน่อย พี่กางเกงแดง-เสื้อเหลืองคนนี้ ก็ค่อย ๆ ปูแผ่นพลาสติกที่มีผู้นำมาเดินเร่ขายชาวม็อบในราคาย่อมเยา (๑๐ บาทกระมัง ถ้าจำไม่ผิด) หย่อนตัวลงนั่ง แล้วบรรจงถอดขาเทียมออกมาวางไว้ข้าง ๆ ไม้ค้ำยัน นั่งฟังประดานักพูดผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีมาพูดให้ฟัง สลับกับการบรรเลงเพลงโดยนักร้องนักดนตรีมากมาย
             หลายคนที่เรานึกไม่ถึงว่าจะมาร่วมร้องร่วมบรรเลงเพลงด้วยก็มา เช่น คุณณัฐ กับคุณพ-วงเดือน ยนตรรักษ์ ก็เลยได้ฟังเพลงร้องบรรเลงกับเปียโนกลางสนามหลวง (หาฟังได้ง่าย ๆ กลางสนามหลวงเสียที่ไหนเล่า) ส่วนขาประจำ พี่ชายวง “กอไผ่” ของเรา ค่ำคืนนี้ก็ยังแวะเวียนมาบรรเลงดนตรีไทยขับกล่อมชาวม็อบอีกครา (สวัสดีจ้า “พี่หน่อง”)



๒....

ย้อนกลับไป ที่พี่กางเกงแดง-เสื้อเหลือง (ตอนนี้พี่เขานั่ง)
             เรากับเพื่อนต่างลอบอมยิ้มแล้วต่างคนต่างสะกิดกันพร้อม ๆ กันโดยมิได้นัดหมาย (“หมาย” เลยไม่ได้มาด้วย) พยักเพยิดชี้ชวนกันมองไปยังพี่กางเกงแดง-เสื้อเหลืองอย่างชื่นชม ที่คนพิการก็ยังสู้อุตส่าห์มากับเขา
             ที่ข้อมือพี่เค้ามีแถบรัดข้อมือตัวหนังสือแดงเด่นชัดว่า
“กู้ชาติ”
              “เออหนอ ถึงพี่เค้าจะมากับขาเทียม แต่พี่เค้าก็เอา “หัวใจ” มา “กู้ชาติ” หละวะ (ถ้า “ไม่มีใครจ้าง”
พี่เขาจริง ๆ)” เราคิดไปลอบสะท้อนใจลอบอมยิ้มไป
             แล้วเราก็อมยิ้มแตก รีบสะกิดให้เพื่อนดู เมื่อสายตาค่อย ๆ มองไล่ไต่ระเรื่อยขึ้นไปตามแผ่นหลังพี่เขาจนเกือบถึงปกเสื้อ ผ้าพันคอที่พี่เขาพันมากระเดิด ๆ ขึ้น จนเราเห็นตัวหนังสือที่สกรีนอยู่บนเสื้อ
             
“มาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง”
             ขนาดนี้ก็คงมาด้วยใจจริง ๆ แหละพี่เอ๊ย...นับถือ...นับถือ...


๓....

เป็นธรรมดา ของม็อบทุกม็อบ ย่อมมีทั้งพวก “จัดตั้ง” กับพวกที่ “มาด้วยใจ” ฝ่ายตรงข้ามก็มักจะอ้างว่า “อีโด่เอ๊ย ! มันก็จ้างมาทั้งนั้นแหละฟระ”
             จริง ๆ เราก็ตอบไม่ได้ว่า พี่เขามาด้วยใจจริงหรือไม่ หรือมีใครจ้างพี่เขามา รู้แต่ว่าเรากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายคนที่วนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปดูไปฟังไปติดตามสถานการณ์ ก็ไม่เห็นมีใครได้รับค่าจ้างค่าออนสักคน แถมยังร่วมลงขันบริจาคเงินช่วยเหลือม็อบกันอีกต่างหาก ตั้งแต่ปักหลักอยู่ลานพระบรมรูปทรงม้า
             แม้แต่น้องชายที่รักของเราคนหนึ่ง อดีตช่างภาพเก่า ที่ตอนนี้พลิกผันตัวเองไปเป็นเจ้าของร้านทองอยู่นครสวรรค์ ตอนเย็นหลังปิดร้าน มันยังขับรถเข้าพระนครมาร่วมชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยพาลูกสาวตัวน้อยอายุยังไม่ ๔ ขวบดี และเมียมาด้วย พอเราโวยวายว่ามันทรมานลูกน้อย-หลานน้อยของเรา มันก็สวนกลับทันทีว่า
             “แหม ก็สอนให้เค้าเรียนรู้ประชาธิปไตยตั้งแต่เด็กไง จะได้ซึมซับไปตอนโต”
             เออ เอากะมันสิ


๔....

ตัดกลับมา ที่พี่กางเกงแดง-เสื้อเหลืองอีกที (ตอนนี้พี่เขานอนละ)
             ตกดึกฝนโปรยลงมาเล็กน้อยระหว่างฟังนักพูดขึ้นไปพูดบนเวที ทำให้ชาวม็อบเริ่มแตกกระจายกันวิ่งหาที่หลบฝน
             บ้างก็ไม่หนีไปไหน ใช้แผ่นพลาสติกรองนั่งนั่นแหละ เอาขึ้นมาคลุมหัวบังฝน หลายคนสามัคคีเขยิบเข้าไปนั่งเบียดรวมกันบนแผ่นพลาสติก เพื่อใช้อีกแผ่นที่อีกคนใช้รองนั่งมาคลุมเป็นหลังคากันฝน ขณะบางคนเริ่มหนีกลับบ้าน
             ฝนตกแค่ตกให้เปียกนิดหน่อย ราวกับเทวดาพรมน้ำเทวมนต์ แล้วก็หยุด การพูดบนเวทีเริ่มขึ้นอีกครั้ง
             หลายคนยังปักหลักนั่งฟังอยู่ต่อ แต่พี่กางเกงแดง-เสื้อเหลืองไม่สนใจใครหละ หยิบเอาขาเทียมมาต่างหมอนหนุนนอนฟังเสียเลย เอาสิ






             ใกล้เช้า เรากับเพื่อนกลับบ้าน ระหว่างทางเราสองคนยังนั่งอมยิ้มนึกถึงพี่กางเกงแดง-เสื้อเหลืองด้วยความชื่นมื่น
             
เราย้อนมาคิดถึงตัวเรากับเพื่อน ที่เริ่มง่วงนอนตาจะปิดกันอยู่แล้วว่า มาถ่างตากันอยู่ทำไมทั้งคืนน้อ
             จังหวะนั้นเรากับเพื่อนบังเอิญหันมามองหน้ากันพอดี และพูดขึ้นพร้อมกัน

             
“มาด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง”
             ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!!!!!









.....................................................................................................................................
หมายเหตุ ๑
*

ขอความกรุณา
งด
แสดงความคิดเห็นทางการเมือง
อันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งนะคะ

หมายเหตุ ๒
**
อิชั้นไม่ได้เป็นพวกใครทั้งสิ้น
ทั้งพวก “อภิสิทธิ์ชน”
หรือพวกเจ้าของทีม “หมากเตะ”
หรือพวก “นักชิมไปเห่าไป” นะคะ
(แม้อิชั้นออกจะเฉียงเหนือเฉียงใต้ไปซักนิด)

หมายเหตุ ๒.๔ **.****
“พวก ๒.๔” ก็ไม่ใช่ขะ

หมายเหตุ ๓ ***
ขอความกรุณาอีกครั้ง
พวก “ราษฎร์ดำดิน” “ประชาใคร” ไม่ต้องยกพวกมาถล่มบ้านอิชั้นนะคะ
(แต่แวะมาทักทายกันได้ขะ)
หมายเหตุ
****
“รักประชาธิปไตย
๒๓ ธันวาคมนี้
อย่าลืมไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้ง”
นะคะ

หมายเหตุ ๕ *****
“เราชาวไทย พร้อมใจไม่ขายเสียง
การซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ผิดกฎหมาย ทำร้ายชาติ”


หมายเหตุ ๖ ******
“คนดีไม่ขายเสียง”


หมายเหตุ ๗ *******
อิชั้น
“เขียนด้วยใจ”
ขะ
“ไม่มีใครจ้าง”
.....................................................................................................................................

            



         ยืมมาจาก www.thugsin.4t.com
     กับ  http://forum.serithai.net/ ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
     ( ค ลิ ก เ ล ย )


วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พระราชหัตถเลขา "ความในพระทัย" รัชกาลที่ ๗ กรณีปฏิวัติ ๒๔๗๕

Rating:★★★★★
Category:Other





พระราชหัตถเลขา  
"ความในพระทัย"  
ของพระบาทสมเด็จ  
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  
เมื่อคราวปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕  


















"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ
ที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม
ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้า
ให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ
เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด
และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"












 พระราชหัตถเลขา
"ความในพระทัย" รัชกาลที่ ๗
กรณีปฏิวัติ ๒๔๗๕










 พระราชหัตถเลขา “ความในพระทัย” 
 ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 
 เมื่อคราวปฏิวัติ ๒๔๗๕ 


 
        วันที่ ๒๔  มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ ณ พระตำหนักไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงตัดสินพระทัยที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยสงบ ดังความตามพระราชหัตถเลขา (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) ที่ทรงเขียนในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ไม่ลงวันที่ พระราชทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งได้แปลเป็นภาษาไทยในหนังสือเรื่อง เกิดวังปารุสก์ เล่ม ๒ ความดังนี้

 
       “ฉันรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งที่เขามิได้คิดจะถอด (depose) ฉัน และฉันยังเสียใจอยู่จนบัดนี้ (ทรงเขียนเดือนสิงหาคม-จ.จ.) ความรู้สึกขั้นแรกก็คือจะลาออก (abdicate) ทันที แต่สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯ แนะนำว่าไม่ควรทำ เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจมีการรบกันจนนองเลือดทั้งยุ่งยากต่างๆ จนอาจมีฝรั่งเข้ามายุ่งและชาติเราอาจเสียอิสรภาพได้...


        ถ้าเราจะรบโดยใช้ทหารหัวเมืองหรือ นั่นเป็นของแน่ที่เราอาจทำได้  แต่ฉันไม่ยินยอมเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เพราะเจ้านายในกรุงเทพฯอาจจะถูกฆ่าหมด ฉันรู้สึกว่าฉันจะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้... สมเด็จกรมพระสวัสดิ์ฯแนะนำตลอดเวลาให้ยินยอมกลับกรุงเทพฯ และ ช่วยคณะราษฎรจัดตั้งการปกครองโดยมีกษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นของที่ฉันเคยอยากจะทำมานานแล้ว แต่ว่าฉันเสียขวัญ (แปลตรงจากอังกฤษก็ต้องว่า “เส้นประสาทเสีย” คือ I lost my พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญnerves  แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ตรงกับไทยที่ถูกน่าจะพูดว่า“ เสียขวัญ”มากกว่า-จ.จ.)


        ในที่สุดมีทางจะทำได้ ๒ ทางคือ จะหนี หรือ จะกลับกรุงเทพฯ ฉันยอมรับว่าฉันตัดสินใจไม่ได้ทันทีว่าจะทำอย่างไรดี เราเพิ่งได้ยินคำแถลงการณ์ทางวิทยุกระจายเสียงอันรุนแรง ดูราวกับจะไปทางบอลเชวิค  ถ้าเช่นนั้นการที่จะกลับไปให้เขาตัดหัวดูออกจะไร้ประโยชน์ เป็นการเสียสละอันไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลย แต่นั่นแหละ คำแถลงการณ์นั้นอาจเป็นถ้อยคำของผู้ที่ออกจะคิดสั้นและรุนแรงรวดเร็วจัดคนหนึ่ง และไม่ใช่นโยบายจริงของคณะ ฉันเลยตกลงใจเสี่ยงโดยให้ผู้หญิงเขาเลือก ทั้งหญิง (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) และหญิงอาภา (พระมารดา) ตกลงเลือกให้กลับอย่างแน่วแน่และฉันเห็นว่าทั้งสองควรจะได้รับเกียรติอย่างเต็มที่ ในการตกลงใจอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น เพราะในเวลานั้นเราอาจจะกลับไปสู่ความตายก็ได้ ผู้หญิงเขาเลือกเอาความตายดีกว่าการเสียศักดิ์  (คือการหนี-จ.จ.) เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน (and that was enough for me)”
 
(หมายเหตุ  บอลเชวิค คือ พรรคการเมืองของรัสเซียที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และ สำเร็จโทษด้วยการสังหารพระมหากษัตริย์ คือ พระเจ้าซาร์และราชสกุล : ผู้เรียบเรียง)







 พระราชหัตถเลขา (ฉบับสมบูรณ์) 
 ทำไมจึงทรงสละราชสมบัติ


         ต่อมา ทรงสละราชสมบัติในวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงปีเศษ โดยทรงมีเหตุผลในการตัดสินพระทัยตามความในพระราชหัตถเลขา ดังนี้
 
ลายพระราชหัตถเลขาหมายเหตุ  การสะกดคำยึดตามพระราชหัตถเลขา แต่การแบ่งย่อหน้าปรับเพื่อความชัดเจนในการอ่าน : ผู้เรียบเรียง
 
      บ้านโนล (Knowle)  แครนลี (Cranleigh surrey)  ประเทศอังกฤษ
 
       เมื่อพระยาพหลพลพยุหะเสนากับพวกได้ทำการยึดอำนาจการปกครองโดยใช้กำลังทหาร ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว  ได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้าให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้น เพราะเข้าใจว่าพระยาพหลฯและพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญตามแบบอย่างประเทศทั้งหลาย ซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น เพื่อให้ประชาราษฎรได้มีสิทธิที่จะออกเสียง ในวิธีดำเนินการปกครองประเทศและนโยบายต่างๆอันจะเปนผลได้เสียแก่ประชาชนทั่วไป


           ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้วและกำลังดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยามให้เปนไปตามรูปนั้น  โดยมิให้มีการกระทบกระเทือนอันร้ายแรง  เมื่อมามีเหตุรุนแรงขึ้นเสียแล้ว และเมื่อผู้ก่อการรุนแรงนั้นอ้างว่ามีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เปนอันไม่ผิดกับหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นควรโน้มตามความประสงค์ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบในประเทศ
 
        ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือในการที่จะรักษาความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนั้นเปนไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเปนได้  แต่ความพยายามของข้าพเจ้าไร้ผล โดยเหตุที่ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  หาได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นไม่  และมิได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง 
 
        และจากรัฐธรรมนูญทั้ง ๒ ฉบับ จะพึงเห็นได้ว่า  อำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆนั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการและผู้ที่สนับสนุนเปนพวกพ้องเท่านั้น มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทนซึ่งราษฎรเปนผู้เลือก เช่น ในฉบับชั่วคราว แสดงให้เห็นว่าถ้าผู้ใดไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ก่อการ  จะไม่ให้เปนผู้แทนราษฎรเลย ฉบับถาวรได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นตามคำร้องขอของข้าพเจ้า แต่ก็ยังให้มีสมาชิกซึ่งตนเลือกเองเข้ากำกับอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรถึงครึ่ง๑
 
         การที่ข้าพเจ้าได้ยินยอมให้มีสมาชิก ๒ ประเภท ก็โดยหวังว่าสมาชิกประเภทที่ ๒ ซึ่งข้าพเจ้าตั้งนั้น  จะเลือกจากบุคคลที่รอบรู้การงาน และชำนาญในวิธีดำเนินการปกครองประเทศโดยทั่วไป ไม่จำกัดว่าเปนพวกใดคณะใด เพื่อจะได้ช่วยเหลือนำทางให้แก่สมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตั้งสมาชิกประเภทที่ ๒ ขึ้น  ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสแนะนำในการเลือกเลย และคณะรัฐบาลก็เลือกเอาแต่เฉพาะผู้ที่เปนพวกของตนเกือบทั้งนั้น มิได้คำนึงถึงความชำนาญ
 
         นอกจากนี้คณะผู้ก่อการบางส่วนได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการณ์เศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง  จึงเกิดแตกร้าวกันขึ้นเองในคณะผู้ก่อการและพวกพ้อง  จนต้องมีการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราโดยคำแนะนำของคณะรัฐบาลซึ่งถือตำแหน่งอยู่ในเวลานั้น  ทั้งนี้เปนเหตุให้มีการปั่นป่วนในการเมือง ต่อมาพระยาพหลฯกับพวกก็กลับเข้าทำการยึดอำนาจโดยกำลังทหารเปนครั้งที่ ๒  และแต่นั้นมาความหวังที่จะให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆเปนไปโดยราบรื่นก็ลดน้อยลง
 
        เนื่องจากเหตุที่คณะผู้ก่อการ มิได้กระทำให้มีเสรีภาพในการเมืองอันแท้จริง และประชาชนไม่ได้โอกาศออกเสียงก่อนที่จะดำเนินนโยบายอันสำคัญต่างๆ  จึงเปนเหตุให้มีการกบฏขึ้นถึงกับต้องต่อสู้ฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทย   เมื่อข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียให้เข้ารูปประชาธิปตัยอันแท้จริงเพื่อให้เปนที่พอใจแก่ประชาชน  คณะรัฐบาลและพวกซึ่งกุมอำนาจอยู่บริบูรณ์ในเวลานี้ ก็ไม่ยินยอม ข้าพเจ้าได้ร้องขอให้ราษฎรได้มีโอกาศออกเสียง ก่อนที่จะเปลี่ยนหลักการและนโยบายอันสำคัญมีผลได้เสียแก่พลเมือง  รัฐบาลก็ไม่ยินยอม  และแม้แต่การประชุมในสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องคำร้องขอต่างๆของข้าพเจ้า สมาชิกก็มิได้มีโอกาสพิจารณาเรื่องโดยถ่องแท้และละเอียดลออเสียก่อน  เพราะถูกเร่งรัดให้ลงมติอย่างรีบด่วนภายในวาระประชุมเดียว 
 
        นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกกฎหมายใช้วิธีปราบปรามบุคคล ซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมืองในทางที่ผิดยุติธรรมของโลก  คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล มีการชำระโดยคณะกรรมการอย่างลับไม่เปิดเผย 
ซึ่งเปนวิธีการที่ข้าพเจ้าไม่เคยใช้ ในเมื่ออำนาจอันสิทธิขาดยังอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกใช้วิธีนี้ รัฐบาลก็ไม่ยอม.


        ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ทรงฉายกับพระราชบิดา คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
        ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และ โดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร


        บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้า  ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริง ไม่เปนผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เปนอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ หรือ ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เปนต้นไป  ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวงซึ่งเปนของ ข้าพเจ้าอยู่ในฐานะที่เปนพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเปนของข้าพเจ้าแต่เดิมมา ก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์พระบรมราชานุสาวรีย์ประทับที่หน้าอาคารรัฐสภา
ลายพระราชหัตถเลขา 
        ข้าพเจ้าไม่มีประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใดให้เปนผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิจะทำได้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ใดก่อการไม่สงบขึ้นในประเทศเพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า ถ้าหากมีใครอ้างใช้นามของข้าพเจ้า พึงเข้าใจว่ามิได้เปนไปโดยความยินยอมเห็นชอบหรือความสนับสนุนของข้าพเจ้า
 
        ข้าพเจ้ามีความเสียใจเปนอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถจะยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติของข้าพเจ้าต่อไปได้ตามความตั้งใจและความหวังซึ่งรับสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ยังได้แต่ตั้งสัตยอธิษฐานขอให้ประเทศสยามจงได้ประสบความเจริญ และขอประชาชนชาวสยามจงได้มีความสุขสบาย.
 

    ประชาธิปก.ปร.   
 
    วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗   
    เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที   






ที่มา : http://www.moomkafae.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=186196&Ntype=5