วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550

มี ดี ม า ใ ห้ คิ ด . . . หนี้บุญคุณ..สำนึกบุญคุณ...โดย "ดังตฤณ"

Rating:★★★★★
Category:Other




 
หนี้บุญคุณ หมายถึง การที่ใครบางคนช่วยให้คุณดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือนำคุณออกมาจากสถานการณ์ลำบาก หรือทำให้คุณสุขกายสบายใจเป็นพิเศษ

การติดหนี้บุญคุณ หนี้ประเภทนี้จะให้ผลหนักเมื่อคุณจงใจลืมบุญคุณ หรือกระทั่งทำร้ายผู้มีพระคุณ

ผลของการทำร้ายผู้มีพระคุณ อาจคูณสิบ คูณร้อย หรือคูณพันของการทำร้ายคนทั่วไป พระคุณยิ่งสูงมากตัวคูณยิ่งสูงตาม

สำนึกบุญคุณ หมายถึงการจดจำไว้ไม่ลืม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่แกล้งลืม ว่าใครเคยให้ความช่วยเหลืออะไรคุณไว้บ้าง 

คนสำนึกบุญคุณเก่ง ๆ จะไม่ลืมตัวง่าย ๆ และนั่นก็หมายความว่าจะตกต่ำลงยากด้วย

คนสำนึกบุญคุณเก่ง ๆ จะไม่มานั่งคำนวณว่าใครให้คุณมาเท่าใด คุณใช้ไปเท่านั้นหรือยัง

กรรมที่ลืมบุญคุณคน จะทำให้เป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นใจช่วยเหลือในยามลำบาก แต่หากถึงขั้นเนรคุณได้นี่จะต้องโดนโทษหนัก ทำอะไรต่อให้เจริญแค่ไหนก็จะกลับตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน

การใช้หนี้บุญคุณ ควรเป็นไปตามกำลัง และไม่ใช่ต้องทุ่มเงินทุ่มทองเท่านั้น ยังมีวิธีในโลกมากมายที่คุณรินสุขสู่ใจใคร ๆ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินทอง
 




 
 “ควรใช้ทันทีเมื่อสบโอกาส”  

 “รีบใช้เสียก่อนเจ้าหนี้ตาย”
 


 

...........................................................................................................
ที่มา : เก็บความจากหนังสือ ”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง” โดย ”ดังตฤณ”
...........................................................................................................

 



 

..........................................................................
”มิใช่จะทวง...หรือถามบุญคุณที่มี
แต่อยากจะเห็น...เธอเป็นคนดีเหมือนเดิม”
..........................................................................
เพลง...."สำนึกบุญคุณ"
"คุณหวานเจี๊ยบ" ร้องเอง
..........................................................................
 

 




วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2550

หนี้บุญกับหนี้บาป (ตอนที่ ๒) . . . " วิธี ใช้ หนี้ บาป เวร " . . . โดย "ดังตฤณ"

Rating:★★★★★
Category:Other



วิธีใช้หนี้บาปเวร



๑) สำนึกผิด

          เป็นขั้นแรกสุดที่ง่ายที่สุด เหมือนไม่ต้องลงทุนอะไร แต่ดูจากความจริงแล้ว อาจกล่าวได้ว่าขั้นของการสำนึกผิดอาจยากกว่าขั้นอื่นใด เพราะขณะที่คนเราทำผิดด้วยความโลภ ความโกรธ หรือความหลงเขลา จิตมักไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่านั่นเป็นความผิด และเมื่อไม่รู้สึกจริง ๆ ว่าผิด ก็คงยากที่จะมีใครไปบอกให้มองเห็นว่ามันผิด กิเลสของคนผิดจะทำให้ไม่ยอมรับและคิดปฏิเสธเรื่อยไป

          เหตุของความสำนึกผิดหลัก ๆ มีอยู่สองประการ ประการแรก หลังจากที่คุณทำอะไรเลว ๆ ลงไป ต่อมาคุณทำดี แล้วมีเส้นทางพัฒนาความดียิ่ง ๆ ขึ้น พอถึงวันหนึ่งมีสิ่งสะกิดใจให้ระลึกถึงความเลวในอดีต จิตอันเป็นกุศลแล้วของคุณย่อมเป็นตัวบอกเองว่านั่นมันเลว นั่นมันกรรมดำ นั่นเป็นเรื่องน่าละอาย คุณจะเกิดความเสียใจและอยากไถ่โทษ ซึ่งระดับความแรงจะมีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของจิตขณะนั้น ๆ บุญยิ่งมากยิ่งสำนึกผิดแรงมาก

           ประการที่สอง คุณมีบุญเก่าในอดีตชาติประเภทเคยสำนึกผิดอย่างรุนแรง และเคยได้ชดใช้ความผิดชนิดทุ่มกายถวายชีวิตไถ่บาปมาก่อน เมื่อชาตินี้ทำผิดอีก อดีตกรรมก็ส่งผลให้สำนึกได้เร็ว และสำนึกได้แรง

          โดยทั่วไปการสำนึกผิดที่ประกอบด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ถือว่าเป็นการใช้หนี้บาปเวรไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่จะมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วย คือภายหลังเมื่อมีโอกาสทำผิดทำเลวดังเคย หากคุณปฏิเสธโอกาสนั้นแม้ต้องยอมแลกด้วยชีวิต ก็ถือว่าความสำนึกผิดของคุณแรงในระดับใช้ลบชื่อคุณออกจากบัญชีบาปเวรชนิดนั้น ๆ ได้ และบาปเวรเก่าก็จะเบาบางลงกว่าครึ่ง



๒) ขอโทษ

          คนที่ขอโทษบ่อย ๆ นั้นพูดคำว่าขอโทษง่าย แต่คนที่นาน ๆ พูดทีจะรู้สึกว่ายาก เพราะจิตต้องยอมรับให้คนอื่นรู้ว่าตนผิด ซึ่งทิฐิมานะและความอหังการของมนุษย์เราไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นง่ายนัก

          อย่างไรก็ตาม คำขอโทษยังแบ่งออกเป็นอีกหลายชั้น หลายวรรณะ บางคนขอโทษบ่อยเสียจนรู้สึกว่าทำอะไรผิดบ่อย ๆ ก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยขอโทษเอาทีหลัง คำขอโทษที่ตามหลังการประมาทหรือขาดความระมัดระวังจนติดเป็นนิสัยนั้น ไม่ใช่คำขอโทษที่มีค่านัก

          ส่วนบางคนนาน ๆ ขอโทษที แต่กล่าวออกมาจากใจเต็ม ๆ จริง ๆ ประกอบด้วยความสำนึกผิดจริง ๆ และมีความตั้งใจที่ดี ที่จะไม่ทำอีกจริง ๆ อันนั้นเป็นคำขอโทษที่มีค่า และเกิดจากจิตอันเป็นมหากุศล

           การขอโทษอาจไม่ได้เป็นคำพูดขอโทษเสมอไป แต่อาจเป็นการทำดีลับหลัง เช่นในกรณีที่บุคคลที่คุณทำเรื่องเลว ๆ กับเขานั้นเสียชีวิตไปแล้ว คุณอาจพูดสรรเสริญหรือทำอะไรเป็นการเชิดชูท่านเพื่อให้ผู้คนนึกนิยมชมชื่น อย่างน้อยที่สุดความสุขที่ได้ทำดีจะกลบกลืนความรู้สึกผิดได้บ้าง

          หรือถ้าหากคุณจำไม่ได้กระทั่งชื่อแซ่หรือหน้าตา ไม่ทราบว่าปัจจุบันเขามีชีวิตอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด คุณก็อาจขอโทษเขาผ่านการทำดีกับคนอื่นแทน เช่นคุณเคยทำร้ายจิตใจใครด้วยคำพูดเสียดแทง ปัจจุบันคุณไม่มีทางพบใครคนนั้นอีกแล้ว คุณก็เพียงตั้งใจว่าต่อไปนี้จะพูดแต่คำที่ช่วยให้ทุกคนรู้สึกดี ปริมาณของบุญคุณที่สร้างขึ้นใหม่จะเหมือนน้ำดีกลุ่มใหญ่ไล่น้ำเสียกลุ่มน้อยได้



๓) ให้อภัย
          ก่อนอื่นต้องมองว่าตอนใครทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจมาก ๆ นั้น คือรูปแบบหนึ่งของการโดนทวงหนี้ เมื่อมองอย่างนี้คุณจะเต็มใจให้อภัย และทราบชัดจากความเบาหัวอก ว่าหนี้เก่าถูกชำระแล้ว อาจต้องผ่อนส่งหลายครั้ง หรืออาจเหมารวบเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว

          เมื่อจิตสะอาดได้ด้วยการคิดอภัย ปราศจากกลิ่นไหม้ของไฟพยาบาทแล้ว คุณจะค่อย ๆ นึกออกว่าสิ่งที่คุณถูกกระทำนั้น คุณเองก็เคยกระทำไว้ก่อนกับคนอื่น ถึงตรงนั้นคุณจะค่อย ๆ มีสัมผัสเกี่ยวกับกรรมวิบาก มองเห็นความสอดคล้อง มองเห็นการสะท้อนไปสะท้อนมาของเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน มองเห็นความยุติธรรม ตลอดจนมองเห็นน้ำหนักความทุกข์ของผู้ที่ถูกคุณกระทำ เปรียบเทียบได้กับความทุกข์ที่คุณโดนกระทำเข้าให้บ้าง และนั่นเองจะเป็นการยอมรับกฎการสะท้อนกลับของกรรมอย่างหมดหัวใจ คุณจะเลิกรู้สึกไปเองว่าทำอะไรก็ได้ไม่ต้องรับผล

          นอกจากนั้น คุณจะค่อย ๆ สังเกตและมีความรู้เพิ่มขึ้น คือไม่ว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขอเพียงคิดประทุษร้ายกัน มีความผูกใจเจ็บกัน เล็งแลกันและกันด้วยแววพยาบาทอาฆาต เท่านั้นก็เรียกว่าเป็นบาปเวรระหว่างกันแล้ว ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้อภัยได้ไม่จำกัด ไม่มีความพยาบาทตกค้างแม้แต่ในความคิด นั่นเองจิตจะทำตัวเป็นน้ำทิพย์ล้างรอยแค้น ทั้งฝ่ายตนและฝ่ายเขา ในที่สุดความอาฆาตในฝ่ายเขาย่อมทนตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องเลือนหายไปในที่สุด

          สรุปคือ เมื่อถูกทำให้แค้นแล้วไม่คิดแก้แค้น เรียกว่าเป็นการใช้หนี้ ขอให้จำไว้ว่า คุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ

          มีกรณีที่ยากจะอภัยอยู่มากมาย และยิ่งเกิดบ่อยขึ้นทั่วทุกหัวระแหงในปัจจุบัน เช่นบางคนรับกรรมที่เคยทำไว้กับลูกในเกมกรรมครั้งก่อน ๆ ต้องมาเกิดกับพ่อแม่ที่ทำเรื่องเลวร้ายกับตน เช่นเมาเหล้าทุบตี เป็นผีพนันที่หันมาปล้นเงินคนที่บ้าน เป็นพ่อที่ทำบัดสีบัดเถลิงกับลูกที่ไม่มีทางขัดขืน เป็นแม่ที่ขายลูกสาวกิน กรณีเช่นนี้อย่าว่าแต่จะมีกำลังใจตอบแทน แค่ห้ามใจไม่ให้คิดอยากฆ่าพ่อแม่ตัวเองก็นับว่ายากแล้ว

          แน่นอน เมื่อถูกเกมกรรมปิดบังอดีตชาติไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความหลงลืม’ ก็ย่อมไม่มีทางทราบได้ว่าการถูกข่มเหงในบ้านโดยพ่อแม่ของตนเอง คือการแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้งของกรรมเก่า คุณอาจทำไว้กับลูกตัวเองหรือทำไว้กับคนอื่น และเมื่อไม่อาจทำใจให้เชื่อว่านั่นคือกรรมเก่าของตน ก็ย่อมผูกใจพยาบาทอาฆาต แล้วกลายเป็นปมพยาบาทระหว่างคนในครอบครัวซึ่งยากมาก ๆ ที่จะถ่ายถอน

          ตามกฎข้อแรก ๆ ของเกมกรรมนั้น คือถ้าคุณอาฆาตแค้นพ่อแม่รุนแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ชีวิตคุณจะเหมือนมีบาดแผลใหญ่ ทำอะไรเจริญยาก ถึงแม้บุญเก่าหนุนให้รุ่งเรืองก็ต้องมีอันเป็นทุกข์ ไม่สุขใจจากความรุ่งเรืองนอกกายดังกล่าว

           การอภัยในเรื่องน่าเจ็บปวดที่สุด ทำได้ยากที่สุด จึงแทบจะเป็นการทำแต้มสูงสุดในเกมกรรม และกล่าวได้ว่าเป็นการใช้หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็น่าเห็นใจ แต่หากทำได้ ก็ไม่มีบุญกุศลชนิดไหนๆอีกแล้วที่คุณจะทำไม่ได้

          สำหรับพ่อที่เลว ไม่ดูแลรับผิดชอบลูกเมีย หรือทำเรื่องเลวร้ายกับลูก ๆ ได้ลงคอนั้น อาจได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้น้ำกามไม่มากนัก ทว่าสำหรับผู้เป็นแม่ จะดีเลวอย่างไรก็ตาม ทุกคนเป็นหนี้การอาศัยท้องท่าน ๙ เดือนเสมอ จึงกล่าวได้ว่าระหว่างพ่อเลวกับแม่เลว การโกรธเกลียดแม่ที่เลวเป็นบาปกว่า และในทางตรงข้าม การให้อภัยแม่ที่เลวย่อมได้ผลเป็นบุญเกินประมาณ



๔) ตั้งความปรารถนาดี

           สิ่งที่ยากกว่าการอภัยคือการดีตอบกับคนที่ร้ายกับคุณก่อน สำหรับคนทั่วไปอาจฟังเป็นเรื่องบ้าและไม่น่าเป็นไปได้ หรือแม้เป็นไปได้ก็ไม่ควรทำ แต่สำหรับคนที่มองชีวิตเป็นเกมกรรม การดีตอบไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ตรงข้ามกลับจะเป็นโอกาสโกยคะแนนพิเศษสองเท่าสามเท่าของคะแนนทำดีปกติด้วยซ้ำ

          เมื่อมีแก่ใจตั้งความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเคลือบแฝง คุณก็ย่อมมีทุนพอที่จะพูดดีและทำดีกับเขาในเวลาต่อมา ฉะนั้นปัญหาอยู่แค่ที่ใจ ทำอย่างไรคุณจึงสามารถตั้งความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจกับคนที่มาทำเรื่องแย่ ๆ กับคุณได้

          ก่อนอื่นใดคุณต้องสร้างกำลังใจให้ตนเอง กำหนดใจลงไปให้แน่วแน่ ว่าถ้าคุณกำลังอยู่ในเกมกรรมจริง และการทำดีตอบคนที่ร้ายกับคุณเป็นการทำคะแนนอย่างสูงจริง ก็แปลว่าหากทำได้สำเร็จ จะต้องมีเรื่องดีๆที่คาดไม่ถึงปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน

          และหากคุณไม่รอดูเหตุการณ์ภายนอก แต่เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ภายในจิตใจอันสับสนอลหม่านของตนเอง ก็จะพบภาวะมหัศจรรย์ที่เรียกว่า ‘มหาโสมนัส’ คุณเป็นคนดี คุณทำในสิ่งยากที่ใครจะทำได้ และธรรมชาติของจิตก็สนองคืนให้ด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินพรรณนา

          การตั้งความปรารถนาดีไว้ล่วงหน้า ชนิดง่ายที่จะตามมาด้วยการอยากพูดให้เขาเป็นสุข อยากทำบางอย่างให้เขาสบาย ก็คือรูปแบบหนึ่งของการแผ่เมตตา หนี้บาปเวรจะหมดไปอย่างรวดเร็วด้วยการชะล้างของเมตตาจิต ยิ่งคุณแผ่เมตตาได้เข้มแข็งหนักแน่นและต่อเนื่องขึ้นเพียงใด บาปเวรก็จะยิ่งถอยห่างหนีหายไปมากขึ้นเท่านั้น ขอให้จำกฎแห่งเกมกรรมข้อนี้ไว้เป็นหลัก แล้วเฝ้าติดตามสังเกตดูว่าเป็นความจริงไหม หากเป็นจริง คุณจะได้เริ่มตื่นเต้นกับการเล่นเกมกรรมด้วยความรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ เสียที!



๕) ช่วยชีวิตสัตว์

          การทวงหนี้หลาย ๆ ครั้งมาในรูปของเมฆหมอกดำทะมึนที่ห่อหุ้มชีวิตทั้งหมดไว้ เช่นโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างหนักถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

          ถ้าคุณจิตใจสงบเยือกเย็นในเวลาหนึ่ง แล้วกลับลุกเป็นไฟ มีความคิดเหี้ยมเกรียมได้เป็นตรงข้าม ขอให้สันนิษฐานว่าอดีตชาติคุณเคยดุร้ายมามาก หรืออาจถึงขั้นเหี้ยมโหดเป็นโจรที่ฆ่าฟันคนไม่มีทางสู้ แต่ภายหลังกลับตัวสำนึกผิดได้ และเป็นความรู้สึกที่รุนแรงขนาดเหวี่ยงกลับมาเป็นขั้วตรงข้าม

          ประเภทนี้เกิดใหม่มักเป็นคนดี หรืออาจจะแสนดี แต่ก็มีปมร้าย มีภาคอันตรายซุกซ่อนที่ยากจะอธิบายและไม่เป็นที่เข้าใจแม้กระทั่งต่อตนเอง รู้แต่ว่าวันดีคืนดีก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์กันได้

          หากคุณเข้าข่ายทำนองนี้ ขอให้ทราบว่าคุณหนีนรกมาได้ทีหนึ่งแล้ว นับเป็นโชคดีแล้ว แต่สิ่งที่คุณจะต้องเผชิญในชีวิตมนุษย์ครั้งนี้ ก็คือสุขภาพที่อ่อนแอ หรือความเจ็บป่วยทรมานเรื้อรังที่ยากจะหาหมอรักษาให้หายขาด แม้วิทยาการแพทย์เจริญก้าวหน้าเพียงใด กรรมเก่าจะส่งอาการลึกลับมาเอาชนะจนได้ หรือแม้เจอหมอเทวดาช่วยได้โรคหนึ่ง ก็หนีไปสร้างโรคใหม่ขึ้นอีกทาง วนเวียนทำความทุกข์ให้กับคุณจนอยากตายไปให้พ้น ๆ ซึ่งถ้าฆ่าตัวตายสำเร็จก็นั่นแหละ เข้าทางกรรมเก่าเขาแล้ว ผู้ตายด้วยจิตที่เศร้าหมองย่อมมีทุคติเป็นที่หวังเสมอ

          ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ขอให้ลองใช้ชีวิตที่เหลือน้อยนั้นปลดปล่อยสัตว์อื่นให้รอดตายดู จะคิดว่าเป็นการทดลองครั้งสุดท้ายหรือเพื่อความสบายใจก่อนตายอย่างไรก็แล้วแต่ สำคัญคือไม่ใช่แค่ปล่อยนกปล่อยปลาสองสามตัว คุณต้องปล่อยถี่ ๆ ปล่อยมาก ๆ และปล่อยอย่างต่อเนื่องนาน ๆ กระทั่งเกิดจิตเป็นมหาทานที่ตั้งมั่น เคยชินกับการไถ่ชีวิตสัตว์ ไม่ไถ่ชีวิตสัตว์แล้วรู้สึกว่าความสุขมันพร่องไป

          ทุกวันมีสัตว์มากมายต้องตายเพื่อเป็นอาหาร จุดที่คุณสามารถช่วยพวกมันได้ง่ายหน่อยคือตลาดสด แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สัตว์ยิ่งตัวใหญ่มากขึ้นก็ยิ่งมีพลังชีวิตมากขึ้น การยืดชีวิตของสัตว์ทั้งใหญ่และเล็กไม่เลือกหน้าจะช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยที่ลึกลับทั้งน้อยและใหญ่ได้แบบครบวงจร



๖) รักษาศีล

           การตั้งใจรักษาศีลคือการสร้างมหาทาน เพราะการตั้งใจงดเว้นฆ่าสัตว์ งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นกามที่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น งดเว้นถ้อยคำอันเป็นทุจริต และงดเว้นการเสพสุรายาเมานั้น เป็นการกระทำชีวิตให้ปลอดภัยแก่ตนและผู้อื่นอย่างยิ่ง แม้เขาเคยค้างชำระหนี้คุณมา และเกมกรรมจัดสรรให้คุณมีสิทธิ์ทวงหนี้เขาคืน คุณก็ไม่ทวง อันนั้นแหละ จึงกล่าวได้ว่าศีลจัดเป็นมหาทานอันเยี่ยม ขอให้พิจารณาเป็นข้อ ๆ ไป

           ถ้าเจตนางดเว้นฆ่าสัตว์ที่คุณมีสิทธิ์ฆ่าง่าย ๆ เช่นมดและยุง คุณได้ชื่อว่าใช้หนี้เก่าที่อาจเคยก่อกวนให้ผู้อื่นรำคาญ ส่วนหนี้ที่มดและยุงทำให้คุณรำคาญ คุณก็ยกให้พวกมันไป
           ถ้าเจตนางดเว้นลักทรัพย์ที่คุณมีโอกาสทำได้ คุณได้ชื่อว่างดการทำความเสียหายให้แก่ผู้ที่จะต้องเสียหาย เหมือนเขาได้รับการยกโทษจากคุณ และคุณก็จะไม่ต้องเป็นผู้ติดหนี้ให้เกิดวงจรอุบาทว์ วันหนึ่งเป็นขโมย อีกวันหนึ่งถูกขโมย

           ถ้าเจตนางดเว้นกามที่ละเมิดสิทธิ์ผัวเขาเมียใคร หรือละเมิดสิทธิ์พ่อแม่ผู้ปกครองเลี้ยงดู คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ทำเรื่องบาดใจแก่ผู้สมควรโดนกรรมเก่าเล่นงานให้บาดใจ และคุณเองก็จะไม่ต้องสร้างหนี้ใหม่จนตกไปอยู่ในฐานะถูกกระทำให้บาดใจด้วย

           ถ้าเจตนางดเว้นการโกหก คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรถูกหลอก ถ้าเจตนางดเว้นคำเสียดแทงใจ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ ถ้าเจตนางดเว้นคำหยาบ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรโกรธเกลียดด้วยการฟังคำด่าทอ ถ้าเจตนางดเว้นการพูดเพ้อเจ้อไร้สติ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรมึนงงฟุ้งซ่านจากการฟังคำพูดอันเลื่อนลอย

           ถ้าเจตนางดเว้นการเสพสุรา ยาอี ยามอมเมาให้สติขาดหายทั้งหลาย คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่กระทำตนให้เข้าข่ายบุคคลอันตราย คุณทำความปลอดภัยให้สังคมจากการดำรงตนเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน คุณจะไม่เป็นเครื่องมือของเกมกรรม ลงโทษผู้สมควรได้รับอันตรายจากการถูกคนเมาสุราอาละวาด




ที่มา : http://dungtrin.com/meecheewit/mobile/04.htm
จากหนังสือ ”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง” โดย ”ดังตฤณ”

หนี้บุญกับหนี้บาป (ตอนที่ ๑) . . . " วิธี ใช้ หนี้ บุญ คุณ " . . . โดย "ดังตฤณ"

Rating:★★★★★
Category:Other




          หนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ

           ๑) หนี้บุญคุณ หมายถึงการที่ใครบางคนช่วยให้คุณดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือนำคุณออกมาจากสถานการณ์ลำบาก หรือทำให้คุณสุขกายสบายใจเป็นพิเศษ การติดหนี้บุญคุณแตกต่างจากคะแนนติดลบ เพราะส่วนใหญ่การไม่มีโอกาสชดใช้หนี้ยังไม่ทำให้คุณต้องประสบทุกข์ หนี้ประเภทนี้จะให้ผลหนักเมื่อคุณจงใจลืมบุญคุณ หรือกระทั่งทำร้ายผู้มีพระคุณ ผลของการทำร้ายผู้มีพระคุณอาจคูณสิบ คูณร้อย หรือคูณพันของการทำร้ายคนทั่วไป พระคุณยิ่งสูงมากตัวคูณยิ่งสูงตาม

          ๒) หนี้บาปเวร หมายถึงการที่คุณทำให้ใครบางคนต้องบาดเจ็บล้มตาย หรือทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก หรือทำให้เขาทุกข์กายไม่สบายใจผิดปกติ การติดหนี้บาปเวรเป็นอันเดียวกับคะแนนติดลบ จะต่างกันก็ตรงที่คะแนนติดลบธรรมดาอาจไม่เกี่ยวข้องกับใคร เช่นคุณดื่มเหล้าเมาจนสุขภาพเสื่อมโทรมโดยไม่รบกวนใครจัดเป็นคะแนนติดลบธรรมดา ทว่าถ้าเมาสุราอาละวาด ทำร้ายคนอื่นด้วย อย่างนี้ถือเป็นหนี้บาปเวรที่ต้องชดใช้




วิธีใช้หนี้บุญคุณ


๑) สำนึกบุญคุณ

          หมายถึงการจดจำไว้ไม่ลืม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่แกล้งลืม ว่าใครเคยให้ความช่วยเหลืออะไรคุณไว้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ลืมบุญคุณคนก็คือหมั่นระลึกถึงเสมอ ๆ อาจจะด้วยการนำรูปบุคคลที่มีพระคุณสูงสุดมาแขวนไว้ในจุดเห็นง่าย และกราบไหว้อยู่เนือง ๆ

          การกราบไหว้เปล่า ๆ กับการกราบไหว้ด้วยความระลึกถึงบุญคุณนั้นแตกต่างกันมาก ด้วยการระลึกถึงพระคุณท่าน คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนน้อม ความเป็นมงคลอันอบอุ่น อาการทางใจเช่นนี้คือการลดทิฐิมานะและความทะนงลงเสียได้

          การสำนึกบุญคุณนั้น ไม่ว่าจะด้วยการระลึกขึ้นมาเฉย ๆ หรือการหมั่นกราบไหว้รูปเคารพ จะทำให้ตัวตนของคุณเล็กลง เพราะตระหนักว่าที่โตขึ้นมาได้ หรือดีขึ้นมาได้ ย่อมไม่ใช่จากตัวเองโดด ๆ อย่างน้อยต้องมีการให้ความช่วยเหลือค้ำจุนจากผู้อื่นเสมอ คนสำนึกบุญคุณเก่ง ๆ จะไม่ลืมตัวง่าย ๆ และนั่นก็หมายความว่าจะตกต่ำลงยากด้วย

          การระลึกถึงบุญคุณคนทำให้คุณพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้มีพระคุณเต็มกำลัง หรือเท่าที่มีโอกาสเป็นไปได้ คุณจะไม่มานั่งคำนวณว่าใครให้คุณมาเท่าใด คุณใช้ไปเท่านั้นหรือยัง คุณจะรู้สึกอยากตอบแทนตามโอกาสเท่าที่ใครคนนั้นยังมีชีวิตอยู่

          การหมั่นระลึกถึงและตอบแทนบุญคุณ จะเป็นภูมิคุ้มกันโรคเนรคุณ ผู้ลืมระลึกถึงบุญคุณคนนั้น ในที่สุดจิตมักลืมอย่างสนิทว่าติดหนี้ใครอยู่บ้าง นั่นเป็นธรรมชาติของจิต ที่เมื่อไม่เข้าข้างสว่างก็ย่อมยืนอยู่ข้างมืด ความมืดคือโมหะที่เข้าครอบงำ เมื่อถูกครอบงำหนักเข้าก็มีสิทธิ์ยกชั้นขึ้นเป็นการเนรคุณ

           แค่กรรมที่ลืมบุญคุณคนก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นใจช่วยเหลือในยามลำบาก แต่หากถึงขั้นเนรคุณได้นี่จะต้องโดนโทษหนัก ทำอะไรต่อให้เจริญแค่ไหนก็จะกลับตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน



๒) หาทางตอบแทน
อย่างสมน้ำสมเนื้อ


          คำว่าตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น อาจเข้าใจง่ายถ้าเป็นกรณีทั่วไป เช่นเมื่อคุณเป็นหนี้ใครหนึ่งพันบาท การตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อคือให้คืนเขาพันบาท หรือควรติดเศษนิดหน่อยเป็นดอกเบี้ยตามอัตรามาตรฐาน

          แต่หลายครั้งบุญคุณวัดกันเป็นตัวเงินไม่ได้ อย่างเช่นพ่อแม่นั้น ช่วยให้คุณเอาชนะเงื่อนไขข้อจำกัดทางธรรมชาติ ที่มนุษย์จะอุบัติและมีความเต็มรูปด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยท้องคนอื่นเกิด ต้องอาศัยคนอื่นเลี้ยงดูจนเติบโต ต้องอาศัยคนอื่นส่งเสียให้เล่าเรียน ซึ่งตามเกณฑ์ปกติจะมีใครเต็มใจ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ของคุณ

          ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒ ว่ากายใจมนุษย์เป็นอุปกรณ์เล่นเกมราคาแพง คุณได้มาจากใคร คนนั้นจึงมีบุญคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ฉะนั้นการตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อจึงมิอาจตีค่าด้วยการให้เงินทองเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ถ้าพวกท่านไม่มีคุณท่านยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีพวกท่านคุณจะไม่มีเลือดเนื้อและชีวิตขึ้นมาได้เอง ฉะนั้นต่อให้เอาสมบัติทั้งหมดที่คุณใช้เลือดเนื้อนี้หามายกให้ท่านน้ำหนักก็ยังไม่เรียกว่าใช้หนี้ครบ เพราะเลือดเนื้อทั้งหมดของคุณยังเป็นหนี้อยู่ทั้งก้อน คุณจะหาสมบัตินอกกายชิ้นใดมาเทียบได้

           การคิดเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขทั้งกายสบายทั้งใจนับเป็นการตอบแทนครึ่งเดียว หากจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น คุณต้องมีโอกาสด้วย โอกาสที่ว่านั้นคือพ่อ และ/หรือ แม่ของคุณยังไม่มีที่พึ่งให้ตนเอง ได้แก่ความรู้ความศรัทธาในเรื่องกรรมและการให้ผลกรรม ยังไม่มีความตั้งมั่นในทาน ยังไม่มีความตั้งมั่นในศีล แล้วคุณสามารถโน้มน้าว ชักชวนให้พวกท่านมาศรัทธากรรม ฝึกให้ทานจนไม่ให้แล้วเหมือนขาดอะไรไป ฝึกถือศีลจนประพฤติผิดแล้วรู้สึกผิดรุนแรง นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าตอบแทนคุณท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อ

          ที่กล่าวได้เช่นนั้นก็เพราะในเกมกรรมนี้ กรรมดีนั่นเองคือที่พึ่งที่แท้จริง เมื่อคุณทำให้ท่านศรัทธากฎแห่งกรรมวิบาก ตั้งมั่นในทาน ตั้งมั่นในศีล ก็เท่ากับคุณตอบแทนเลือดเนื้อก้อนนี้เป็นอัตภาพดี ๆ ในเกมกรรมครั้งต่อ ๆ ไปของท่านนั่นเอง

          ธรรมชาติพิเศษของการใช้หนี้บุญคุณมีอยู่ประการหนึ่ง คือยิ่งหนี้สูงแล้วคุณใช้คืนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คุณจะได้คะแนนบวกมหาศาล น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้าย ๆ เล่นงานก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร

          เรื่องน่าเศร้าคือเกมกรรมจะปิดบังไม่ให้คุณเห็นช่วงเวลาที่แม่ลำบากตั้งท้องคุณ ไม่เปิดเผยให้เห็นช่วงนาทีวิกฤตที่ต้องทุกข์สาหัสกับการเบ่งคุณออกมา กับทั้งไม่ให้คุณรับรู้ว่าพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงคุณอย่างไร คุณจึงเห็นแค่บุญคุณของครู บุญคุณของเพื่อน บุญคุณของใครต่อใครอื่น ๆ ในโลกที่ทุ่มเทเวลาช่วยเหลือคุณ และอาจตัดสินว่าน้ำหนักคงพอ ๆ กันกับที่พ่อแม่ช่วยเหลือคุณมา

          หากคุณไม่ตอบแทนพ่อแม่เลย ลูกของคุณจะทำหน้าที่ทวงแทน คือกรรมของคุณจะไปดึงดูดเอาพวกที่จะมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ และไม่สำนึกบุญคุณ หากคุณไม่มีลูกก็ทบหนี้ไปถึงชีวิตหน้าในเกมต่อไป

          ในทางกลับกัน หากคุณมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบดูแลลูกเมียให้ดี มันอาจหมายถึงการเลื่อนเวลาชดใช้หนี้เก่าก็ได้ ต้องแยกให้ออกว่าลูกอาจติดหนี้น้ำกามของคุณ แต่คุณเองก็อาจเคยติดหนี้เขาไว้ก่อน (และโดยมากจะเป็นเช่นนั้น) หากเขามาทวงหนี้คืนแล้วไม่ใช้ ชาติต่อไปคุณก็มีสิทธิ์สูงที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงดูแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือฝากคนอื่นเลี้ยงจนคุณว้าเหว่และมีปัญหาตั้งแต่เล็ก

          ในกรณีทั่วไป สำหรับใครก็ตามที่มีพระคุณ โดยเฉพาะในระดับที่คุณรู้สึกซาบซึ้งและเป็นหนี้บุญคุณ การใช้หนี้ที่ดีที่สุดคือการให้ความสุขกับเขา อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้ว่าเขาจะเป็นสุข จงทำให้มาก และทำเท่าที่โอกาสจะอำนวย อย่ากะเกณฑ์ว่าแค่นี้ใช้หนี้ให้แล้ว ถือว่าหายกันแล้ว เพราะโดยทั่วไปถ้าจิตคุณถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณใคร ส่วนใหญ่บุญคุณนั้นจะหนักยิ่ง อย่าประมาณเลยว่าชดใช้แค่นั้นแค่นี้แล้วจะพอ

          หมายเหตุไว้ด้วยว่าการใช้หนี้บุญคุณควรเป็นไปตามกำลัง และไม่ใช่ต้องทุ่มเงินทุ่มทองเท่านั้น ยังมีวิธีในโลกมากมายที่คุณรินสุขสู่ใจใคร ๆ โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินทอง เช่นความคิดปรารถนาดี ก็เป็นคลื่นความสุขที่ส่งและสื่อจากใจถึงใจได้แล้ว คำพูดและกิริยาอ่อนน้อมให้เกียรติก็นับว่าเป็นการลงมือตอบแทนได้อย่างหนึ่งด้วย ดังกล่าวแล้วในหัวข้อก่อน

          กำหนดระยะการใช้หนี้ในเกมกรรมนั้น โดยทั่วไปจะ ‘ควรใช้ทันทีเมื่อสบโอกาส’ หรือให้ดีกว่านั้นคือไม่ประมาท คิดว่า ‘รีบใช้เสียก่อนเจ้าหนี้ตาย’ ขอเพียงเริ่มจากความตั้งใจจริง แม้ยังไม่ลงมือก็ถือว่าใช้ไปบางส่วนแล้ว ชีวิตนี้คุณอาจไม่มีโอกาสใช้หนี้ครบถ้วน แต่ขอเพียงมีใจคิดอยู่บ้าง คุณก็จะรู้สึกเบาตัวลง เหมือนคนสบายใจได้ใช้หนี้ ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ดองหนี้ไว้จนกลายเป็นคนขาดความนับถือตัวเองไป




ที่มา : http://dungtrin.com/meecheewit/mobile/04.htm
จากหนังสือ ”มีชีวิตที่คิดไม่ถึง” โดย ”ดังตฤณ”




วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550

คนดีเป็นอย่างไร....เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

Rating:★★★★
Category:Other




          "คนดีคือคนขยันหมั่นหาทรัพย์
    ยักษ์สำทับเจ้าตัวโตแต่โง่หลาย
    ตอบเข้าท่าแต่ถึงคราจะต้องตาย
    คนขยันมากมายใช่คนดี
          คนคดโกงเกเรคนขายชาติ
    คนอุบาทว์ทำชั่วมีทุกที่
    คนขยันเจ้าเล่ห์เสเพลมี
    อย่างเจ้านี้ขยันทำกรรมชั่วช้า"













.......................................................
คนดีเป็นอย่างไร

โดย...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
.......................................................





                                กาลครั้งหนึ่งเนิ่นนานมาแล้ว
                        มีสระแก้วกลางป่าอยู่สระหนึ่ง
                        น้ำใสใสไหลเซาะอยู่ลึกซึ้ง
                        ทั้งฝูงผึ้งภุมรินบินตอมบัว
                        บัวชมพูบัวแดงก็แฝงฝัก
                        ดอกบัวขาวพราวพรักอยู่พร้อมทั่ว
                        ผีเสื้อสวยมากมายมีหลายตัว
                        เข้าพันพัวบัวสายในสระนั้น

                    ลมเย็นเย็นเป็นระยะระรินรื่น
            อากาศชื่นฉ่ำใจในป่านั่น
            ในสระนี้มียักษ์ตัวสำคัญ
            ซึ่งเทวัญท่านปราบแล้วสาปไว้
            แม้ผู้ใดหลงป่ามากินน้ำ
            ลงผุดดำว่ายเล่นในสระใหญ่
            จงจับตัวกลืนกินเสียทันใด
            เว้นแต่ใครมีปัญญาอย่าเพิ่งกิน

                                เจ้าจงถามปัญหาให้เขาตอบ
                        ใครตอบผิดคิดมิชอบจงกินสิ้น
                        ใครตอบถูกเจ้าจะพ้นซึ่งมลทิน
                        ออกจากถิ่นนี้ได้ในทันที
                        ยักษ์ต้องสาปหลับใหลอยู่ในสระ
                        เป็นระยะเวลาช้าเหลือที่
                        ถ้าจะนับก็ไม่น้อยกว่าร้อยปี
                        ยังไม่มีใครสักคนพ้นมือยักษ์

                    โจรใจบาปหยาบช้าผ่านมาถึง
            เข้าเด็ดดึงดอกบัวทั้งใบฝัก
            ตะกรามแกะกินเม็ดเอร็ดนัก
            แล้วเอื้อมวักน้ำลูบชโลมตัว
            พลันยักษ์ตื่นโผล่ตนขึ้นพ้นสระ
            เอื้อมมีปะป่ายปับเข้าจับหัว
            เจ้าโจรร้ายตัวสั่นหวั่นระรัว
            กลัวแล้วกลัวแล้วจ้าอย่าทำเลย

                                ฝ่ายยักษ์ร้องก้องฟ้าเจ้าหน้าโง่
                        ข้าหิวโซทรมานนานแล้วเหวย
                        วันนี้ได้เนื้อหนังคนสังเวย
                        นี่แน่ะเฮ้ยมีปัญญาตอบมาไว
                        ถ้าแม้ตอบได้สิ้นไม่กินเจ้า
                        แต่ถ้าตอบผิดเค้าไม่เอาไหน
                        ข้าจะทึ้งคอหักควักหัวใจ
                        แล้วยักษ์ใหญ่แลบลิ้นออกเลียโจร

                    ปัญหาว่า “คนดีเป็นอย่างไร”
            ตอบไวไวอย่าช้าว่านี่โน่น
            โจรตัวสั่นงันงกถูกยกโยน
            แหกปากร้องตะโกนตะกุยตะกาย
            คนดีคือคนขยันหมั่นหาทรัพย์
            ยักษ์สำทับเจ้าตัวโตแต่โง่หลาย
            ตอบเข้าท่าแต่ถึงคราจะต้องตาย
            คนขยันมากมายใช่คนดี

                    คนคดโกงเกเรคนขายชาติ
            คนอุบาทว์ทำชั่วมีทุกที่
            คนขยันเจ้าเล่ห์เสเพลมี
            อย่างเจ้านี้ขยันทำกรรมชั่วช้า

            ว่าแล้วยักษ์หักคอแล้วเคี้ยวกิน
            อร่อยลิ้นเลือดคนเจ้าโจรป่า
            จนวันหนึ่งพระธุดงค์เดินตรงมา
            วักน้ำล้างหน้าตาและเนื้อตัว

                                เจ้ายักษ์ใหญ่โผล่ตนขึ้นพ้นสระ
                        มองเห็นพระนึกว่าคนที่โกนหัว
                        เอื้อมมือจับจีวรร้อนระรัว
                        พระไม่กลัวยักษ์ขยาดชักหวาดเกรง
                        ท่านเป็นใครไยจึงมาถึงนี่
                        ตอบปัญหาข้าทีหากท่านเก่ง
                        ถ้าตอบพลาดผิดเค้าเข้าตัวเอง
                        ท่านจงเร่งหลับตาเตรียมตัวตาย

                    ปัญหาว่า คนดีเป็นอย่างไร
            ท่านจงตอบเร็วไวให้ความหมาย
            พระนั่งนิ่งภาวนาสาธยาย
            เจ้ายักษ์ร้ายแลบลิ้นเลียเงี่ยหูฟัง
            “คนไม่เห็นแก่ตนคือคนดี”
            พลันแสงสีสุนีบาตก็ฟาดฝั่ง
            บังเกิดพายุกล้ามาประดัง
            คำสาปสั่งพ้นสิ้นยักษ์ยินดี

                                เข้าประณมก้มกราบหมอบราบพื้น
                        ข้าได้ฟื้นคืนตนพ้นจากนี่
                        เพราะท่านให้คำตอบชอบช่วยชี้
                        ร้อยพันปีรอเวลาท่านมาถึง
                        พระกล่าวย้ำคำตอบนี้มีความหมาย
                        ควรภิปรายตรองตรึกให้ลึกซึ้ง
                        ยักษ์เอ่ยปากฝากชีวิตคิดหวังพึ่ง
                        กราบแล้วจึงหายวับไปกับตา




.......................................................................................
จาก หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า ๖
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๑๐๒๔๙
.......................................................................................




ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6137
ภาพจาก http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=199






................................................................
เพลง.....คนดี
เนื้อเพลง.....เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ร้องและบรรเลงโดย.....คีตาญชลี
................................................................


"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี".....พระบรมราโชวาทตอนหนึ่ง

Rating:★★★★★
Category:Other



"การทำให้บ้านเมือง
มีความปรกติสุขเรียบร้อย
มิใช่
การทำให้ทุกคนเป็นคนดี"











"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด

การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี

หากแต่อยู่ที่การส่งเสริม ค น ดี 
ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง

และควบคุม ค น ไ ม่ ดี ไม่ให้มีอำนาจ 
ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."






.......................................................................................................
พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖
เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๖
.......................................................................................................



ภาพจาก http://www.skarea1.org/smms/news.php?show=1104







................................................................
เพลง.....คนดี
เนื้อเพลง.....เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ร้องและบรรเลงโดย.....คีตาญชลี
................................................................

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550

บั น ทึ ก บุ ญ . . .ฟังธรรม ทำบุญถวายปัจจัยติดกัณฑ์เทศน์ เจริญภาวนา ที่วัดสุทัศน์ฯ....เชิญอนุโมทนาบุญร่วมกันจ้า



 

        วันนี้ไปฟังธรรม ทำบุญถวายปัจจัยติดกัณฑ์เทศน์ และเจริญภาวนาที่พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวรารามมา หลังจากไม่ได้ไปนานเกือบ ๒ เดือน ตั้งแต่ป่วยเมื่อไปวัดสุทัศน์ฯ ครั้งก่อน แล้วครูบาอาจารย์รุ่นพี่คนนึงขอให้งดไปวัดซักระยะ ประมาณว่าให้พักรักษาตัวก่อน ออกพรรษาแล้วนั่นแหละค่อยไป

        แต่วันนี้อดไม่ได้จริง ๆ เห็นถนนหน้าที่ทำงานโล่ง ๆ เลยแอบหนีไปซะหน่อย

        ข้อธรรมบางตอนที่เก็บความได้จากฟังพระธรรมเทศนาวันนี้ คือเรื่อง "พรหม"

        พระคุณเจ้าท่านเทศน์ให้ฟังว่า "พรหม" ที่ในศาสนาพราหมณ์มักจะบูชาด้วยอาหารหรือบูชาด้วยไฟนั้น จริง ๆ แล้ว "พรหม" ท่านไม่ได้เสพอาหาร แต่ "พรหม" ท่านเสพ "ปีติ" ความอิ่มเอมในธรรม เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องบูชาท่านด้วยอาหาร หรือไฟ หากจะบูชา "พรหม"  ควรบูชาด้วยการ "ปฏิบัติบูชา"

        ส่วนอาหารนั้น ควรจะนำไปบูชา "พรหมที่บ้าน" คือพ่อ-แม่ ที่เปรียบดั่ง "พรหมของลูก" (วันนี้ซื้อขนมฝากพ่อ-แม่พอดีเลยเรา...สาธุ)

        ฟังเรื่อง "พรหม" แล้วทำให้นึกถึงเรื่อง "เทพ" ที่ครูบาอาจารย์เราเคยสอนมา ก็ขอพูดถึงเรื่องการบูชา "เทพ" เสียหน่อย

        ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนว่า ไม่ผิดหรอก ถ้านับถือศาสนาพุทธแต่บูชาองค์มหาเทพด้วย เพียงแต่ให้พึงระวัง อย่าให้ "ศรัทธา" ทำให้กลายเป็นความ "งมงาย"

        อย่าคิดบูชา "เทพ" เพียงแค่จะอ้อนวอนร้องขอลาภ ยศ สรรเสริญ ใด ๆ

        
องค์มหาเทพท่านไม่มีหน้าที่ "อวย" ลาภ ยศ สรรเสริญ ให้ใคร

        แต่องค์มหาเทพท่านจะ "อวย" ความสำเร็จความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

        เพราะองค์มหาเทพท่านมีหน้าที่ที่จะช่วยดำรงพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวสืบต่อไปได้จนถึง ๕,๐๐๐ ปี


 

.................................................................
บุญกุศลจากการฟังพระธรรมเทศนา
ทำบุญถวายปัจจัยติดกัณฑ์เทศน์
และการเจริญภาวนาของข้าพเจ้า
จะบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า
และเป็นประโยชน์สุขแก่ข้าพเจ้าเพียงไร
ข้าพเจ้าขอให้ทุกคน
จงเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญนี้ของข้าพเจ้าด้วย เทอญ
.................................................................

 

(ภาพพระศรีศากยมุนี
ในพระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม
จาก
www.kruwatsuthat.com)

 

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550

หมุนกงล้อประวัติศาสตร์ ผ่านพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย

Rating:★★★★★
Category:Other

"แรงงานมีส่วนสำคัญ  
ในการพัฒนาประเทศ  
มาได้อย่างไร  
มีค่าจ้าง ผลตอบแทน  
ในบรรยากาศ  
การเมืองแบบไหน"  
ไปหาคำตอบกันได้ที่  
พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
  









หมุนกงล้อประวัติศาสตร์
ผ่านพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย



          ปัจจุบันเราอยู่ในสังคมทุนนิยม ที่เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นหลัก จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาประเทศมาจากแรงงานเครื่องจักรกล และแรงงานสมองของมนุษย์ หากนับถอยหลังมองย้อนกลับไปในยุคบุพกาล กลุ่มผู้ใช้แรงงานมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาประเทศ ซึ่งเรื่องราวและวิวัฒนาการของผู้ใช้แรงงานไทยตั้งแต่ยุคสังคมศักดินา กระทั่งเปลี่ยนผ่านสู่สังคมทุนนิยม ได้ถูกรวบรวมไว้ใน "พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย"



ที่มาแห่งพิพิธภัณฑ์

          ถัดจากสถานีรถไฟมักกะสัน เขตราชเทวี อาคารก่อตึกฉาบสีแดงทั้งหลังทำให้ตัวอาคารโดดเด่น ในอดีตอาคารแห่งนี้เคยใช้เป็นที่ทำการของสถานีอนามัย และสถานีตำรวจรถไฟ ก่อนที่จะถูกรื้อถอน ปัจจุบันทางสหภาพแรงงานได้เข้ามาขอพื้นที่เพื่อใช้เป็นที่ทำการของ "พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย"

          พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยแห่งนี้จัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของขบวนการแรงงานไทย องค์กรแรงงาน เอ็นจีโอแรงงาน เอกชน นักวิชาการประวัติศาสตร์ และมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๖ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แรงงาน

          สนามหญ้าทางเข้าอาคาร นอกจากจะติดตั้งป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์เพื่อให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายแล้ว ข้าง ๆ กันยังมีประติมากรรมรูปปั้นชายและหญิงช่วยกันผลักกงล้อซึ่งสื่อความหมายถึงกงล้อประวัติศาสตร์ให้เคลื่อนไปข้างหน้า



          ภายในอาคารแยกย่อยเป็นห้องจัดแสดงเอกสาร ข้าวของเครื่องใช้ ตราสัญลักษณ์ซึ่งจะเกี่ยวร้อยเป็นเรื่องราวของผู้ใช้แรงงานตั้งแต่ยุคบุพกาล เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน วิชัย นราไพบูลย์ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์หนุ่ม วัย ๔๙ ปี ออกมาต้อนรับผู้มาเยือนพร้อมกับทำหน้าที่ไกด์ พรั่งพรูเรื่องราวอีกด้านของผู้ใช้แรงงานไทย

           "พิพิธภัณฑ์คือสถานที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมา ไม่ใช่ที่เก็บของเก่าอย่างเดียว มีเรื่องราวอยู่ในของเหล่านั้นด้วย บอกเล่าเรื่องราวและยุคสมัย พิพิธภัณฑ์แรงงานก็เช่นกัน เอาความหมายของแรงงานในยุคต้น ๆ ทำให้เรารู้วิวัฒนาการว่าแรงงานมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศมาได้อย่างไร มีค่าจ้าง ผลตอบแทนในบรรยากาศการเมืองแบบไหน" วิชัยกล่าวนำก่อนจะพานำชมพิพิธภัณฑ์



ยุคแรกของแรงงานไทย

          จากร้านขายของที่ระลึก เข้าสู่ห้องจัดแสดงเรื่องราวของวิวัฒนาการการใช้เครื่องมือแรงงานเพื่อทำงานในยุคสังคมจารีต ตั้งแต่ยุคใช้เครื่องมือจากกระดูกสัตว์ เครื่องมือยุคหิน สำริด โลหะ เครื่องปั้นดินเผาใ ช้แรงงานเพื่อทำมาหากินจนพัฒนาเป็นชุมชน ขณะที่ฝาผนังอีกด้านหนึ่งของห้องเรียงรายไปด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบชาวบ้านสำหรับการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ อย่างกระบุง กระจาด เคียวเกี่ยวข้าว เครื่องมือจับปลา มองไล่ลงมาถึงพื้นห้องจะเห็นเครื่องสีข้าว เครื่องสีฝัด และเครื่องรีดน้ำอ้อย ซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบันที่พัฒนาเป็นสังคมอุตสาหกรรม

          นอกจากเครื่องใช้ดังกล่าว ในห้องยังจัดแสดงเอกสารแสดงลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงานไพร่ ไทย มอญ เอกสารการต่อต้านเจ้านาย เอกสารในการเก็บภาษีอากร เอกสารเกณฑ์แรงงานไปพายเรือรับแขก

          "สังคมโบราณ แรงงานที่ได้เป็นแรงงานเกณฑ์ไปใช้แรงงานให้กับพวกเจ้าขุนมูลนาย ทุกคนขึ้นทะเบียนสังกัดโดยการสักข้อมือเรียกว่าการสักไพร่ ไพร่ผู้หญิงทำไร่ทำนา เพาะปลูก หาเลี้ยงครอบครัว ผู้ชายทำงานโยธา ขุดคลอง ก่อสร้าง ขณะที่ไพร่ผู้หญิงที่ขึ้นทะเบียนไว้ มีเพียงบางส่วนที่ถูกเกณฑ์เป็นแรงงาน ลักษณะงานที่ทำก็เป็นเพียงแรงงานเบา ประวัติศาสตร์แรงงานร่วมสมัย ต้นรัชกาล ๔ เริ่มมีแรงงานรับจ้างขึ้นมา เปลี่ยนการผลิตจากเกษตรพอเพียงเพื่อเลี้ยงตัวเองเป็นการผลิตเพื่อส่งออก มีข้าวเป็นสินค้าสำคัญ ไพร่ทาสถูกเกณฑ์ไปอยู่ในไร่นาเป็นส่วนใหญ่" วิชัยอธิบายถึงสถานการณ์แรงงานในช่วงบุพกาล



กุลีจีน ผู้บุกเบิกแรงงานรับจ้าง

          ระหว่างเปลี่ยนผ่านจากสังคมศักดินาสู่สังคมทุนนิยมช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความต้องการจ้างแรงงาน หากช่วงดังกล่าวชาวสยามยังผูกติดกับแรงงานบังคับในระบบไพร่ จึงหันมาใช้แรงงานต่างชาติ ชาวจีนอพยพจึงเป็นแรงงานต่างด้าวรับจ้างรุ่นแรกในสยามประเทศ มาพร้อมกับเรือสำเภาซึ่งบรรทุกสินค้าเต็มท้องเรือ ขณะที่ส่วนบนของดาดฟ้าเต็มไปด้วยชาวจีนจำนวนมากยืนยัดเยียดจนแทบไม่เหลือพื้นที่สำหรับนั่ง ประกอบกับการเดินทางทางเรือสมัยก่อนอาศัยลมทะเลในการขับเคลื่อน ต้องทนตากแดดตากฝนตากลมตากน้ำค้าง อาหารและน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้หลายคนล้มเจ็บและเสียชีวิตระหว่างทางไปก่อนถึงจุดหมายปลายทางก็มีไม่น้อย

           "รถลาก" หรือ "รถเจ๊ก" เป็นพาหนะหลักของคนกรุงในยุคกำลังพัฒนาประเทศสู่ความศิวิไลซ์ ขณะเดียวกันงานลากรถเป็นอาชีพเริ่มต้นของจีนใหม่ที่ไม่มีช่องทางทำมาหากินก่อนจะขยายไปทำอาชีพอื่น งานรถลากยังเป็นที่พึ่งสุดท้ายจากการล้มเหลวในการประกอบอาชีพอื่น
          ตรงข้ามกับที่ตั้งของรถลาก จำลองมุมหนึ่งของโรงฝิ่นในอดีต มุมผ่อนคลายอารมณ์หลังจากผ่านการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ไกด์หนุ่มอธิบายเพิ่มเติมว่า แรงงานจีนอพยพทำงานขยันขันแข่งเก็บเงินกลับเมืองจีน ด้วยเหตุนี้นายจ้างจึงออกอุบายด้วยอบายมุขมัวเมาแรงงาน แรงงานไทยยุคแรกยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาคุ้มครอง ต่างจากแรงงานจีนอพยพ มีการรวมตัวกันในรูปแบบสมาคมอั้งยี่ คอยให้ความคุ้มครองแรงงานจีนสยาม



แรงงานในยุคปฏิรูปประเทศ

          แสงเหลืองนวลของหลอดไฟดวงเล็กขับให้หัวรถรางจำลองดูโดดเด่น ท่ามกลางตู้ไปรษณีย์สีแดงสด ภายในปราศจากจดหมาย มีเพียงเครื่องโทรเลขและโทรศัพท์เครื่องเก่า ใกล้กันเรียงรายไปด้วยตะแกรงสำหรับร่อนแร่ พร้อมท่อเหล็กฉีดน้ำขนาดใหญ่ ขณะที่อีกมุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของเครื่องรีดยางและอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆสำหรับกรีดยาง

          ภายในตู้โชว์เล็ก ๆ จำลองโมเดลก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมภูมิภาคต่าง ๆ ชั้นบนของโมเดลเต็มไปด้วยเอกสารในรัชกาลที่ ๕ ทรงประกาศเลิกทาส เอกสารเกี่ยวกับการค้าทาส และหนังสือขายตัวเป็นทาส

          ไกด์หนุ่มอธิบายที่มาของสาธารณูปโภคที่นำมาแสดงให้ฟังว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ สยามประเทศมีการปฏิรูประบบสาธารณูปโภค โทรเลข โทรศัพท์ ขุดคลอง ชลประทาน สร้างถนนหนทาง สะพาน รถไฟเชื่อมภูมิภาคต่าง ๆ มีการริเริ่มกิจการรถราง กิจการขนส่งมวลชนที่สำคัญของคนเมืองหลวงการพัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้ทางภาคเหนือ อุตสาหกรรมยางทางภาคใต้ เมื่อมีการพัฒนาประเทศขนานใหญ่ ยังไม่มีเครื่องจักรเทคโนโลยีสมัยใหม่ แรงงานคนจึงมีความสำคัญในการปฏิรูปประเทศ



๒๔๗๕ ชีวิตแรงงานเปลี่ยนไป

          "หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ บรรยากาศมีความเป็นประชาธิปไตย แรงงานสามารถรวมตัวกันจัดตั้งสมาคมเป็นของตัวเอง มีกฎหมายขึ้นมารับรอง สมาคมรถราง เป็นสมาคมแรกที่ได้รับการอนุญาตให้จดทะเบียน" เสียงบอกเล่าของไกด์หนุ่มเอื้อนเอ่ยเหยียบย่างบนพื้นลาดด้วยยางมะตอย บริเวณหน้าทางเข้ามีหมุดคณะราษฎรจำลองจากพระบรมรูปทรงม้า ที่ระลึกเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕

          ห้องนี้แสดงเอกสารสื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ศรีกรุง แสดงเหตุการณ์ต่าง ๆ ของกรรมกรในการเรียกร้องสิทธิแรงงาน ประวัติพอสังเขปของปัญญาชนกับกรรมกรก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ หนังสือพิมพ์กรรมกร กระดาษกรอบเป็นสีเหลือง ขอบแหว่งวิ่น สื่อฉบับแรกที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแก่ชนชั้นแรงงาน ของถวัต ฤทธิเดช ผู้ได้รับการขนานนามเป็นวีรบุรุษคนแรกของกรรมกร

          "รัฐบาลคณะราษฎรมีแนวคิดลงทุนทำธุรกิจเอง เกิดเป็นรัฐพาณิชย์ ก็คือรัฐวิสาหกิจนั่นเอง" วิชัยอธิบายที่มาของหัวเข็มขัด ประทับตราไว้ว่ารัฐพาณิชย์ให้ฟัง พร้อมกับอธิบายถึงเหรียญตราต่าง ๆ "เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แรงงานได้รับเมื่อครั้งคนรถไฟ และคนงานรถรางเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือรัฐบาลปราบกบฏบวรเดช ปี ๒๔๗๖"



แรงงานภายใต้ภาวะสงคราม

          ภายในห้องจัดแสดงชีวิตแรงงานไทยภายใต้สภาวการณ์ที่สำคัญสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามเย็น แสดงให้เห็นบรรยากาศอันหลากหลายของเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ กึ่งกลางของห้องบังเกอร์และเครื่องบินทหารสีเขียวช่วยประกอบฉากโมเดลจำลองการสร้างรถไฟสายมรณะโดยแรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกญี่ปุ่นจับตัวมา

          ห่างออกมารถสามล้อถีบ และร้านตัดผม ทำหน้าที่บอกเล่าประวัติศาสตร์แรงงานและอาชีพที่สงวนไว้สำหรับแรงงานไทย กรงขังภายในเต็มไปด้วยเอกสารคอมมิวนิสต์สะท้อนสิทธิเสรีภาพ รวมถึงกฎหมายแรงงานที่หายไป

          วิชัยทำหน้าที่ไกด์อธิบายสถานภาพของแรงงานในยุคเชื่อผู้นำชาติพ้นภัยว่า "เมื่อมีการเข้ามาของอุดมการณ์ทางการเมืองระบบสังคมนิยม แนวคิดสนับสนุนชนชั้นกรรมาชีพ องค์กรแรงงานมีทั้งที่อยู่ฝ่ายสังคมนิยมและกลุ่มที่รัฐบาลสนับสนุน แต่ในที่สุดมีองค์กรหนึ่งที่ปราศจากการแทรกแซงคือกรรมกร ๑๖ หน่วย เรียกร้องกฎหมายแรงงานได้เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อสงครามหมด เข้าสู่ยุคสงครามเย็น รอบบ้านประเทศไทยเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์กันหมด มหาอำนาจทางฝ่ายทุนนิยมเกรงกลัวทฤษฎีโดมิโนจึงให้การสนับสนุนให้รัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นมามีอำนาจ เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ระบบทุนนิยมเติบโต ยุคนั้นยกเลิกพระราชธรรมนูญ กฎหมายแรงงานที่เพิ่งได้ยกเลิก การเรียกร้องสวัสดิการค่าจ้างของแรงงานไม่ได้ บทบาทกรรมกรหายไปนาน หลายคนถูกจับติดคุก ประหารชีวิต"



ชีวิตที่หล่อเลี้ยงด้วยดนตรี

          นอกจากวิธีการเรียกร้องด้วยการเดินขบวน เนื้อหาของเพลงผ่านเสียงร้องและทำนองของดนตรีเป็นอีกกระบอกเสียงหนึ่งของชนชั้นผู้ใช้แรงงานใช้ในการเพรียกหาความเป็นธรรมจากสังคม เกิดเป็นดนตรีเพื่อชีวิตแรงงาน

           จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้บุกเบิกดนตรีเพื่อชีวิตแรงงาน เสนอแนวคิดศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน คือศิลปะที่ต้องไม่รับใช้ตัวศิลปินเอง เป็นศิลปะที่ต้องสะท้อนความเป็นอยู่ของคนทุกข์ยาก ชาวไร่ชาวนา กรรมกร คนทุกข์ยาก ต้องการสิทธิเสรีภาพ เช่น เพลงมาร์ชกรรมกร ศักดิ์ศรีของแรงงาน รำวงวันเมย์เดย์ ภายในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์แรงงาน นอกจากเรื่องราวของจิตรแล้ว ยังมีจะเข้ตัวโปรด อาวุธทางวัฒนธรรม ใช้ประพันธ์เพลงหลาย ๆ เพลงระหว่างอยู่ในคุกลาดยาว

          "ในยุคมืดไม่สามารถพูดถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพได้อย่างเปิดเผย กวี วรรณกรรมมีบทบาทมาก ปี ๒๕๑๖ วงคาราวาน กรรมาชน วงต้นกล้าของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สุจิตต์ วงษ์เทศ พอเข้าป่ามีแฮมเมอร์ ไม่ได้เข้าป่า แต่เอาเพลงในป่ามาปรับให้เบาลง แล้วเข้าสังกัดเทป เป็นวงแรกที่บุกเบิกเข้าธุรกิจเพลง ยุคคาราบาวทำให้เพลงพวกนี้ดังสุด ๆ กลายเป็นกระแสเพลง สร้างเพลงแรงงานเยอะ แต่ไม่ใช่คนใช้แรงงานในโรงงานจริง ๆ" วิชัยอธิบาย

          นอกจากเรื่องราวของจิตร ภูมิศักดิ์ ภายในห้องยังมีเครื่องดนตรีและประวัติของวงดนตรีเพื่อชีวิตทั้งที่เป็นปัญญาชน และวงดนตรีของผู้ใช้แรงงานจริงๆ

          "วงคนงานยุคก่อตั้งปี ๒๕๒๒ โดยแหลมสน อดิศร และสมาชิกสหภาพแรงงานไทย วงดนตรีอะคูสติก บทบาทของวงสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนงาน วงเตาหลอม เป็นวงดนตรีของคนงานโรงงานผลิตเหล็ก ย่านบางพลี พระประแดง แสดงตามย่านชุมนุมของคนงานย่านสมุทรปราการ ที่เหลือยังเล่น แต่ไม่ได้เล่นเพื่อกิจกรรมประท้วงของแรงงาน เล่นตามผับ"

          วิชัยอธิบายพร้อมกับเล่าถึงวงภราดร วงดนตรีของกรรมกรหญิงล้วน ย่านอ้อมน้อย อ้อมใหญ่ บันทึกเสียงเพลงครั้งแรก "คิดถึงตุ๊กตา" สะท้อนเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ เมื่อปี ๒๕๓๖ แสดงดนตรีในงานชุมนุมของแรงงาน งานกิจกรรมทางการเมือง และยังมีโอกาสได้ไปแสดงในต่างประเทศหลายครั้ง ปัจจุบันจากสมาชิกเพียง ๖ คนเหลือ ๓ คน ๒ ใน ๓ คือสุมาลีและพัชรี เป็นเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ส่วนอีกคนที่เหลือยังคงเป็นสาวโรงงาน ล่าสุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ๓ สาววงภราดรเพิ่งไปเล่นดนตรีให้แรงงานไทยในฮ่องกงฟัง



วันนี้ของแรงงานไทย

          ห้องสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์กินเนื้อที่จำนวนมาก พร้อมกับบอกเล่าประวัติศาสตร์การต่อสู้เดือนตุลา สะท้อนสภาพของแรงงานยุคนี้ ถูกกดมานานเป็นเวลาหลายปี ใบปลิวการเรียกร้องเดินขบวนประท้วงเรียกร้องสวัสดิการของแรงงานหญิง เหตุการณ์ต่อสู้ในช่วงพฤษภาทมิฬ

          "แรงงานหญิงในยุคศักดินา ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงาน ทำให้ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายสร้างผลผลิต ตราบเมื่อพลิกสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม แรงงานผู้หญิงถูกดึงเข้าสู่โรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิต และเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บทบาทของแรงงานหญิง การต่อสู้ของคนงานหญิง การเรียกร้องประท้วงกรณีโรงงานฮาร่า คนงานยึดโรงงานผลิตขายเอง ติดสัญลักษณ์ค้อนและเคียวที่กระเป๋า" วิชัยอธิบายพร้อมกับนำชม

           โรงหนัง ๑๔ ตุลาซีเนม่า ภายในตกแต่งไปด้วยข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลา มุมชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งสามารถใช้เวลาเป็นวัน ๆ ขลุกในห้องเพื่อชมภาพยนตร์สารคดีดังกล่าว

          กึ่งกลางของห้องจัดแสดงโมเดลภาพเด็ก พร้อมวิดีทัศน์แสดงภาพเหตุการณ์จริงในการทลายโรงงานผลิตกรวยกระดาษ ซึ่งมีการกดขี่แรงงานเด็ก

          " แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่งเข้ามามีบทบาท อาชีพขับรถบรรทุก ๑๐ ล้อ ถึงทุกวันนี้ยังไม่มีสวัสดิการคุ้มครอง เรื่องค่าจ้าง ชีวิตผจญส่วย ยาบำรุงกำลัง กระทิงแดง คาราบาวแดง ส่วย ตำรวจ ยาบ้า" วิชัยอธิบายสถานภาพของแรงงานรถบรรทุก

          ลึกลงไปด้านในของห้องจัดแสดงเป็นเรื่องราวของความปลอดภัยในชีวิตของแรงงานอันเกิดจากเพลิงไหม้ กรณีโรงงานผลิตตุ๊กตาเคเดอร์ โมเดลตึก ๔ ชั้น พร้อมภาพของคนจำนวนหนึ่งอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมกระโดดลงจากตึกสูงเพื่อหนีเพลิงไหม้ ตุ๊กตา เศษผ้า รองเท้าที่ดำไหม้ ซากที่เก็บจากสถานที่จริง

          "เคเดอร์ โรงงานผลิตตุ๊กตาถูกไฟไหม้ เอาเครื่องจักรกลหนักตั้งไว้ชั้นบน ไม่มีคอนกรีตหุ้ม ไฟไหม้เพียงไม่กี่นาที ตึกทลายลงไป ทำให้คนงานเสียชีวิตเยอะมาก เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งการเรียกร้องสถาบันความปลอดภัยและชีวอนามัยของแรงงาน เรียกร้องการก่อสร้างอาคารให้ถูกต้อง มีระบบป้องกันเตือนภัย ดับเพลิง ๑๐ กว่าปีตั้งแต่เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่ได้ หลังจากกรณีเคเดอร์ยังปรากฏมีเหตุการณ์อื่นตามมาอีกมาก" วิชัยอธิบายเพิ่มเติม

          ภายในยังมีความรู้อธิบายเรื่องของสิทธิแรงงานต่าง ๆ ในปัจจุบัน ปัญหาแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน วิวัฒนาการแรงงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจ

          "คนทั่วไปยังไม่เยอะ เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปของคนไทยที่ไม่ชอบไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว แรงงานมาจัดประชุมประจำ กลุ่มคนที่มาศึกษาเรื่องของแรงงาน นักศึกษาแวะเวียนมาเป็นกลุ่ม ใช้ที่นี่เป็นห้องเรียน นักท่องเที่ยวมีบ้าง" วิชัยเอ่ยถึงถึงผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งยังมีจำนวนไม่มาก

          และจากการคลุกคลีกับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งหมุนเวียนเข้ามาใช้ห้องประชุมของที่นี่เพื่อสัมมนาปรึกษาหารือกัน วิชัยแสดงความเห็นทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัย แรงงานทุกยุคสมัยต่างมีความต้องการตรงกัน คือค่าแรงที่เป็นธรรม



*****************************************
          พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
ตั้งอยู่ที่ถนนนิคมรถไฟมักกะสัน เขตราชเทวี เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐-๑๖.๓๐ นาฬิกา หยุดวันจันทร์และอังคาร ไม่เสียค่าเข้าชม หากจะเข้าชมเป็นหมู่คณะโปรดแจ้งล่วงหน้าเพื่อจัดบริการผู้นำชม
          สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ๐ ๒๒๕๑ ๓๑๗๓





***** ข่าวและภาพบางส่วน จาก : ผู้จัดการรายวัน ๒๙ เมษายน ๒๕๔๘







ที่มา : http://www.siam-handicrafts.com/Webboard/question.asp?QID=3158