วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

ไฟ ๑๑ กองที่แผดเผาสัตว์โลก . . . โดย "ภูเตศวร"

Rating:★★★★
Category:Other


"ไฟดังกล่าวล้วนอยู่ในจิตใจ  
ของสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง  

"เป็นไฟที่ลุกโชน  
เผาผลาญสัตว์โลกมายาวนาน  
นับตั้งแต่อุบัติจนถึงปัจจุบัน  
และอนาคตข้างหน้าอย่างมิรู้จบ"  













ไฟ ๑๑ กองที่แผดเผาสัตว์โลก


...............................................................    
ที่มา : "ภูเตศวร" กับ "ธรรมะ ๕ นาที"    
จาก : www.dhamma5minutes.com    
๒๙ กันยายน ๒๕๔๙    
...............................................................    




          อันว่า...สรรพสัตว์ทั้งปวงคือมนุษย์ และไม่เว้นแม้แต่เทวดา คือว่ามีไฟ ๑๑ กองแผดเผาอยู่เสมอ ไฟที่เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์ทรมานดังกล่าว มีดังนี้

          ๑. ราคะ ความกำหนัด ความชอบใจในกามคุณ

          ๒. ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะสำคัญ

          ๓. ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงต่าง ๆ ในรูป รส กลิ่น เสียง ความลังเลฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์

          ๔. ชาติ ไฟแห่งความเกิด หรือกำเนิดที่เป็นทุกข์

          ๕. ชรา คือ ความแก่ การก้าวสู่ความเสื่อมของร่างกายที่เป็นทุกข์

          ๖. มรณะ คือ ไฟร้อนที่เกิดจากความตาย ความพลัดพรากอันเป็นทุกข์

          ๗. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก

          ๘. ปริวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไรรำพัน

          ๙. ทุกขัง คือ ไฟที่มาจากความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกายและจิตใจ

          ๑๐. โทมนัส คือ ไฟที่มาจากความเสียใจ

          ๑๑. อุปายโส คือ ไฟที่มาจากความคับแค้นใจ

          ครับ ไฟทั้งปวงที่กล่าวมา ท่านถือว่าเป็นไฟที่ลุกโชนเผาผลาญสัตว์โลกมายาวนาน นับตั้งแต่อุบัติจนถึงปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าอย่างมิรู้จบ


          ไฟดังกล่าวอยู่ที่ใด ?

          ไฟดังกล่าวล้วนอยู่ในจิตใจของสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง เพราะอุปาทานและอวิชชา คือความไม่รู้ (จริง) ตามสภาวะแห่งธรรมคือธรรมชาติ ทำให้สัตว์โลก ‘ยึด’ และ ‘ติด’ ใน ‘ตัวกู-ของกู’ เช่น ทรัพย์สมบัติของกู สามีของกู ร่างกายของกู ฯลฯ

          เมื่อเกิดภาวะขัดแย้ง ปรากฏว่าสิ่งที่ตนยึดมั่นหมายมั่น มิได้เป็นอย่างที่คิด สมบัติสูญหาย สามีถูกเมียน้อยนำไปครอบครอง (ชั่วคราว) ก็เกิดไฟ โทสะ โสกะ ปริเวทะ โทมนัส อุปายโส แผดเผากลายเป็นทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ความจริง สิ่งเหล่านั้นแม้ไม่มีใครยื้อแย่งไป ‘มรณะ’ ก็พลัดพรากจากเราไปในวันหนึ่งข้างหน้า

           การปฏิบัติธรรม หมายถึง การรู้เท่าทันธรรมชาติแท้จริง ด้วยการสร้างสติ เพื่อปัญญา ‘รู้’ จริง จึงสามารถปลดทุกข์ละวางทุกข์ได้ คือมรรคและผลในพุทธศาสนา

          รู้ว่าขณะนี้อะไรที่กำลังเป็น ไฟ แผดเผาหัวใจตนอยู่

          รู้แล้วกำจัดเสียด้วย ธรรมะ

ธรรมะของพระพุทธเจ้า
คือการเข้าถึงสมาธิและสติ
เพื่อความว่างจากการปรุงแต่ง
จากไฟทั้ง ๑๑ กองดังกล่าว



ความสูญเปล่า ๗ ประการ (ของการเกิดมาเป็นมนุษย์) . . . โดย "ภูเตศวร"

Rating:★★★★
Category:Other







อ่านแล้วก็ต้องถามตัวเอง  
เราปล่อยให้เวลา  
ผ่านเลยมาอย่างสูญเปล่า  
หรือไม่  














ความสูญเปล่า ๗ ประการ
(ของการเกิดมาเป็นมนุษย์)

...........................................................    
ที่มา : "ภูเตศวร" กับ "ธรรมะ ๕ นาที"    
จาก : www.dhamma5minutes.com    
๒๙ กันยายน ๒๕๔๙    
............................................................  





          จำได้ว่าหลายฉบับก่อนช่วงปลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ได้เขียนถึง หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา กล่าวถึงหนังสืออนุสรณ์ ‘พระชัยวงศานุสติ’ อันมีชีวประวัติ และธรรมะอันพิสุทธิ์แสดงไว้ โดยผู้เขียนแนะนำให้ท่านทั้งหลายหามาอ่านเพื่อประโยชน์แห่งตนแล้วนั้น

          จากวันนั้นหนังสือจำนวน ๓๒๘ หน้าเล่มนั้นก็ถูกวางบนหัวเตียงตลอดมา เพราะงานสร้างวัดและงานส่วนตนเร่งรัดจนแทบไม่มีเวลาหยิบอ่าน จนเมื่อคืนก่อนนอนสติเตือนตน ‘พรุ่งนี้’ ต้องส่งต้นฉบับธรรมะ ๕ นาที ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องลำดับความคิดล่วงหน้า ‘จะเขียนอะไรดี’

          พอนึกถึงเรื่องจะเขียนไม่ออกทำท่านอนไม่หลับ มือเลยควานหาหนังสือมาอ่านเพื่อช่วยให้ง่วง หนังสือของหลวงปู่จึงถูกหยิบมาอ่านอีกครั้ง เหมือนหลวงปู่ท่านดลใจเปิดพลิกเจอธรรมะที่โดนใจทันควัน

          สั้น กระชับ ได้ความคิดกระจ่าง

           ‘ความสูญเปล่า ๗ ประการ (ของการเกิดมาเป็นมนุษย์)’

          หลวงปู่ครูบาฯ ท่านมิได้กล่าวเกริ่นอะไรเยิ่นเย้อ ขึ้นหัวข้อและไล่อันดับหนึ่งถึงเจ็ด จาก จักขุสุญโญ, โสตะสุญโญ, หัตถะสุญโญ, ปาทะสุญโญ, มุกขะสุญโญ, กายะสุญโญ และอายุสุญโญ ตามลำดับทิ้งค้างไว้อย่างนั้น หากเมื่ออ่านเสร็จ ผู้พบผู้เห็นล้วนต้องถามตัวเอง

          เราเป็นผู้สูญเปล่าเช่นนั้นหรือไม่

          "ภูเตศวร" อ่านแล้วก็ต้องถามตัวเอง เราปล่อยให้เวลาผ่านเลยมาอย่างสูญเปล่าหรือไม่ เมื่อทบทวนแล้วสิ่งที่เหนื่อยยากทั้งปวงก็บรรเทา ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายก็เบาบาง

          เมื่อได้ตรงนี้ ก็อยากบอกท่านทั้งหลายในฐานะ ‘ชาวพุทธ’ ควรสำรวจตนเองว่า วันนี้เราเป็นบุคคลผู้สูญเปล่าทั้ง ๗ ประการนี้หรือเปล่า

          ๑. จักขุสุญโญ – มีตาอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีตาเสียเปล่า แต่ไม่มองดูพระพุทธรูป ไม่มองดูพระธรรม อันเป็นโอวาทของพระพุทธเจ้า ไม่มองดูนักปราชญ์บัณฑิต ไม่มองดูบุคคลอื่นผู้ทำบุญทำทาน ไม่มองดูที่ซึ่งเขาทำบุญ ไม่มองดูตระกูลของพ่อแม่ ไม่มองดูเหล่าพระสงฆ์ยามเที่ยวบิณฑบาต ไม่มองดูยาจกขอทานผู้มาขอ ไม่มองดูผู้รักศีลภาวนา คอยเล็งดูแต่กิจการของตน ไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น จึงได้ชื่อว่า ‘มีตาสูญเปล่า’

          ๒. โสตะสุญโญ-มีหูอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีหูเสียเปล่า แต่ไม่ฟังพระธรรมเทศนาอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ฟังคำสั่งสอนของท่าน ไม่ฟังคำประเพณีเก่า ไม่ฟังท่านเล่าเรื่องกองบุญ ไม่ฟังคำคุณในชาติหน้า ไม่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่ฟังบทบาทบาลี ผู้อื่นชักชวนทำบุญดี แต่ทำกึ่งหูหนวกไม่ได้ยิน จึงได้ชื่อว่า ‘มีหูอันสูญเปล่า’

          ๓. หัตถะสุญโญ-มีมืออันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีมือเสียเปล่า แต่ไม่ยกมือไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ไหว้บิดามารดาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่ควรถวายทำบุญใส่บาตรด้วยมือตน ไม่ถือลูกประคำภาวนาเจริญเมตตา จึงได้ชื่อว่า ‘คนมีมือสูญเปล่า’

          ๔. ปาทะสุญโญ-มีเท้าอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีเท้าเสียเปล่า แต่ไม่เดินเข้าไปที่พระพุทธเจ้าอยู่เทศนาธรรม ไม่ไปทำบุญด้วยเท้าของตน ไม่เข้าไปหานักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้มีปัญญา ไม่เข้าไปในสถานที่ที่เขาทำบุญเป็นหมู่คณะ ไม่เข้าไปสู่วัดวาอาราม ท่านชักชวนทำบุญกลับเดินหนี จึงได้ชื่อว่า ‘คนมีเท้าสูญเปล่า’

          ๕. มุกขะสุญโญ-มีปากอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีปากเสียเปล่า แต่ไม่ร่ำเรียน (ท่องบ่น) พุทธบทคาถา ไม่ร่ำเรียนกัมมัฏฐานภาวนาตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถามทางเข้าสู่พระนิพพาน ไม่ชักชวนกันเข้าสู่พระวิหารเพื่อฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่พูดจาประสาธรรม คอยแต่กล่าววจีทุจริต จึงได้ชื่อว่า ‘คนมีปากสูญเปล่า’

          ๖. กายะสุญโญ-มีกายอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีร่างกายเสียเปล่า แต่มัวเมาลุ่มหลงในกายตนซึ่งเป็นของไม่เที่ยง เฝ้าเลี้ยงดูแต่กาย ไม่ขวนขวายคุณงามความดีใส่ตัว เพราะมัวเมากับโลกสงสารตามอาการวิสัยคนเห็นผิดจากธรรม ทรัพย์สมบัติที่หามาได้มากมายน่าเสียดายถึงคราวตายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง จึงได้ชื่อว่า ‘คนมีกายสูญเปล่า’

          ๗. อายุสุญโญ-มีอายุอันสูญเปล่า ได้แก่ บุคคลที่มีอายุเสียเปล่าแม้จะมีอายุยืนยาวสัก ๑๒๐ ปี แต่ไม่สนับสนุนให้ลูกหลานบวชเรียน ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ถวายกุฎีและเจดีย์ธาตุ ไม่ได้ให้อาวาสเป็นทาน ไม่ได้เขียนธรรมค้ำชูพระศาสนาให้สืบทอดต่อไปในภายหน้า ปล่อยใจไปตามเวลา จึงได้ชื่อว่า ‘คนมีอายุสูญเปล่า’

          ครับ ทั้งหมดคือความสูญเปล่า ๗ ประการที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ท่านพูดสั่งสอนลูกหลานและถูกบันทึกไว้ในหนังสือ ‘พระชัยวงศานุสติ’ ที่อยากให้ท่านทั้งหลายได้พบและอ่านหมดทั้งเล่ม


วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

มี ดี ม า ใ ห้ คิ ด . . . มนุษย์มักกระทำตนเฉกไก่ในตะกร้าที่ถูกบรรทุกไปสู่โรงฆ่า . . . โดย "ทมยันตี"

Rating:★★★★★
Category:Other

"เหยียบย่ำกันเอง    
จิกตีกันเอง    

เหยียบหัวตัวอื่น    
เพื่อให้ตัวมันสูงสุด    

ท้ายสุด...ตายทุกตัว !!!"    












........................................................
มนุษย์มักกระทำตนเฉกไก่ในตะกร้า
ที่ถูกบรรทุกไปสู่โรงฆ่า
........................................................




สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด...

สัตว์โลกมีความแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา
ความปรวนแปรไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทำให้สัตว์โลกเป็นทุกข์
จนกว่าเมื่อใดไม่ยึดเหนี่ยว ไม่หลงในอัตตานั่นแล้วเป็นสุข

ก็เมื่อทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง
ทำไมไม่แผ่เมตตาแก่กัน

มนุษย์
มักกระทำตนเฉกไก่ในตะกร้าที่ถูกบรรทุกไปสู่โรงฆ่า
ระหว่างทางมันเหยียบย่ำกันเอง จิกตีกันเอง
เหยียบหัวตัวอื่น
เพื่อให้ตัวมันสูงสุด


ท้ายสุด...ตายทุกตัว !!!

มนุษย์เล่า...ประพฤติมิได้แผกไก่ในตะกร้า
ทั้ง ๆ ต่างทุกข์
ต่างเดินไปสู่ความตายทั้งสิ้น

มนุษย์เคยได้อะไรจริงจัง

มนุษย์เคยเป็นอะไรตลอดกาลหรือไม่

ทุกอย่างต้องวางไว้ในโลก
คืนให้กับโลก

โลก...ก็แปรปรวนไม่เที่ยงแก่มนุษย์ !



.............................................................................
“ทมยันตี” จากหนังสือนวนิยายเรื่อง “จิตา”
.............................................................................




">



วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550

ที่มาของสีประจำวันและความหมาย

Rating:★★★
Category:Other



ที่มาของสีประจำวัน



          วันอาทิตย์ พระอิศวรเอาราชสีห์ ๖ ตัวมาป่น แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระอาทิตย์ มีกายสีแดง

          วันจันทร์ พระอิศวรร่ายพระเวทให้นางฟ้า ๑๕ นางกลายเป็นผงละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระจันทร์ มีกายสีเหลืองนวล

          วันอังคาร พระอิศวรร่ายพระเวทให้กระบือ ๘ ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงหลัว พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระอังคาร มีกายเป็นสีแก้วเพทาย (แดงหลัว, ชมพู)

          วันพุธ พระอิศวรร่ายพระเวทให้พญาคชสาร ๑๗ ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระพุธ มีกายเป็นสีแก้วมรกต

          วันพฤหัสบดี พระอิศวรร่ายพระเวทให้พระฤาษี ๑๙ ตนกลายเป็นผง แล้วเอาผ้าสีแสดมาห่อ พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระพฤหัสบดี มีกายเป็นสีแสด

          วันศุกร์ พระอิศวรร่ายพระเวทให้พระโค ๒๑ ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีน้ำเงิน พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระศุกร์ มีสีกายเป็นสีคราม

          วันเสาร์ พระอิศวรร่ายพระเวทให้เสือ ๑๐ ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีดำหลัว พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระเสาร์ มีกายสีดำหลัวหรือม่วง




ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=723065


เหตุที่ไม่มีคู่....ชาติที่แล้วไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือเปล่า

Rating:★★★
Category:Other



เหตุที่ไม่มีคู่
ชาติที่แล้วไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือเปล่า


          "ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างก็ไม่รู้ด้วยคำสัญญา เช่น เราจะรักกันทุกชาติไป โดยหารู้ไม่ว่ากรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ชาติภพใหม่ก็เลยแตกต่างกันไป แต่คำมั่นที่สาบานยังอยู่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณยังเป็นโสดจนทุกวันนี้

          ลองสวดมนต์บทนี้ดูอาจจะดีขึ้นนะ



คำขอขมาและอธิษฐานจิต

อธิษฐานหน้าพระพุทธรูป หรือสวดก่อนนอนก็ได้

(นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ)

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

หากข้าพเจ้า จงใจ หรือประมาทพลาดพลั้ง
ล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์
พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์
พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร
จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี
ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย

หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา
ขออนุญาตมีคู่ มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป
ขอถอนคำอธิษฐาน คำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต
ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน


ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร
ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง
จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ
อุปสรรคใด ๆ โรคภัยใด ๆ ขอให้มลายสิ้นไป
ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม
ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน เทอญ

หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า
ไม่ว่าจะชาติใด ภพใดก็ตาม
ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้
ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาต
และคำสาปแช่งในทุกชาติ ทุกภพ


ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน
ของเจ้ากรรมนายเวร
ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลกทางธรรม เทอญ"




แล้วตอนท้ายเค้ายังบอกอีกว่า.....

"คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ
แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกัน
การสวดขอขมา เพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง"




ที่มา : จาก Forward Mail



ใครจะลองทำดูก้อด้ายนะ
ขอให้ทุกคนสมหวังในความรัก


วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2550

บ ท ก วี . . . ขอเห็นแค่...เธอบินไกลลับสายตา

 

ขอเห็นแค่...เธอบินไกลลับสายตา

 

คุณหวานเจี๊ยบ...เขียนคำ

คุณบุญตาล...เขียนภาพ

http://boontaan.multiply.com

 

 

           

 

 


 

 

               แม้รู้เมื่อไรมีแรงเรี่ยว

       ปีกเดียวกระดิกกระเดี้ยได้

       คงประคับประคองอีกปีกหนึ่งไป

       ยังที่ใดที่เดิมแต่เริ่มมา

 

                                      อาลัยอะไรกับที่นี่

                              ในเมื่อมีที่หมายให้กลับไปหา

                              ไปเถิดไปอยากได้ใครเยียวยา

                              ก็จงพาปีกนั้นด้นดั้นดู

 

               หมดแรงยื้อหรือยุดสุดยับยั้ง

       จะเหนี่ยวรั้งขังใจคงไม่อยู่

       จะแข็งขืนฝืนใจไว้อุ้มชู

       ก็พอรู้ขังใจไม่ง่ายเลย

 

                                      ไปเถิดไปถ้าใจบินไปก่อน

                              ใครร้าวรอนเหว่ว้าจงชาเฉย

                              อย่าอาวรณ์อ่อนไหวคล้ายไม่เคย

                              ไม่ต้องเอ่ยคำใดเข้าใจกัน

 

               ตั้งใจจะดูแลจนแผลหาย

       จนร่างกายแข็งแรงแกร่งเท่านั้น

       ไม่เคยคิดขังแม้แค่สักวัน

       บอกแล้วมันเต็มใจใคร่ดูแล

 

                                      เข้าใจ...ตั้งใจ...และเต็มใจ

                              หากถึงวันต้องไปคงได้แต่

                              เป็นอย่างเดิมอย่างไรไม่ผันแปร

                              ขอเห็นแค่...เธอบินไกลลับสายตา



หมายเหตุ ๑ *
ภาพนกสวย ๆ วาดโดย "คุณบุญตาล"
http://boontaan.multiply.com

หมายเหตุ ๒ ** เพลงประกอบชื่อ "หงส์ฟ้า" ของ "แอน มิตรชัย"

หมายเหตุ ๓ *** ขอบคุณ "คุณบุญตาล" ที่แบ่งปันภาพเขียนให้ยืมมาประกอบบทกวีกระจอกงอกง่อยโดยไม่คิดมูลค่า

หมายเหตุ ๔ **** ขอบคุณ "มิตรภาพ" และ "การแบ่งปัน" ที่ยังพอหาได้จากหมู่บ้านมัลติพลาย

หมายเหตุ ๕ ***** ขอบคุณเพื่อนบ้านทุกคนในหมู่บ้านมัลติพลายที่ช่วยให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น แม้ว่าวันนี้โลกจะร้อนก็ตาม

หมายเหตุ ๖ ****** ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน

หมายเหตุ ๗ ******* .........................

******* ยังคงว่างเปล่า รอคุณมาเขียนต่อ......




เ สี ย ง อ่ า น . . . "นิทานอิงธรรมะ" เรื่อง "บ้านของก้อนเมฆ"...ฝากหลาน ๆ ทุกคนในหมู่บ้านมัลติพลายจ้า

Rating:★★★★★
Category:Other
"ป้าหวานฯ" ไปเจอไฟล์เสียงอ่านนิทานอิงธรรมะ
เรื่อง "บ้านของก้อนเมฆ"
ที่เว็บของคุณ "ดังตฤณ" http://dungtrin.com
เห็นว่าน่ารักดี เลยอยากเอามาฝากหลาน ๆ
ในหมู่บ้านมัลติพลายของเรา
"น้องโน้ส-น้องนันท์"
"หลานอลิสา-หลานอัลเบิร์ต"
"น้องแพลงตอน"
"น้องพิมมาดา"
"น้องต้นข้าว-น้องต้นขิง"
และเด็ก ๆ ทุกคนนะคะ

(ลืมชื่อหลาน ๆ คนไหนไป
เดี๋ยว "ป้าหวานฯ" จะมาเขียนเพิ่ม)









นิทานอิงธรรมะ
เรื่อง...."บ้านของก้อนเมฆ"
โดย....Karมิยะ
เสียงอ่านโดย....พราว ทองเลี่ยมนาค



ล้อจักรยาน หมุน หมุน
หมูตัวน้อยกำลังปั่น ปั่น ปั่น
ฟ้าใส ใส เมฆขาว ขาว
ยอดหญ้าเอนพลิ้ว พลิ้ว


"หมูน้อย เธอจะไปไหน"
นกกระจอกบินร่อนมาเกาะถาม
หมูน้อยปั่น ปั่นช้าลงก่อนก้มหน้ามาตอบ
"ฉันจะไปตามหาความ รู้ ที่บ้านของก้อนเมฆ"
"บ้านของก้อนเมฆอยู่ไกลมั้ย"
นกกระจอกถาม
"ไม่รู้สิ ฉันต้องไปถึงก่อนถึงจะตอบเธอได้"

นกกระจอกบินจากไป
เจ้าหมูน้อยยังปั่นต่อ
ดวงตาเป็นประกาย
รอยยิ้มเบิกบาน


ผีเสื้อปีกสวยบินมาเกาะ
ถามคำถามไม่ผิดจากนกกระจอก
หมูน้อยก็ตอบแบบเดียวกัน
"ฉันจะไปตามหาความรู้ ที่บ้านของก้อนเมฆ"
ผีเสื้อถามอย่างสงสัย
"บ้านของก้อนเมฆต้องอยู่บนฟ้า...
เธอขี่จักรยานอย่างนี้จะไปถึงได้อย่างไร"

หมูน้อยจนคำตอบ
ผีเสื้อแสนสวยบินจากไป


หมูน้อยสงสัย
เขาจะไปถึงบ้านก้อนเมฆด้วยจักรยานได้อย่างไร...
ถึงสงสัย เขาก็ยังไม่หยุดปั่น ปั่น

ล้อจักรยานหมุน หมุน
หมูน้อยยังไม่หยุดปั่น ปั่น
ความสงสัย ไม่อาจทำให้ถึงที่หมาย
การปั่น ปั่นเช่นนี้
อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้เดินทาง


แมลงปอปีกใสมาเกาะหน้ารถ
ถามคำถามเดียวกับนกกระจอก
พอได้คำตอบแรก ก็ถามต่อเหมือนผีเสื้อ
"เธอจะขี่จักรยานไปบ้านของก้อนเมฆได้อย่างไร"


คราวนี้หมูน้อยมีคำตอบ
"แล้วมีใครบอกเธอหรือ…
ว่าบ้านของก้อนเมฆต้องอยู่บนฟ้า…
ใครคนนั้นเคยไปถึงตั้งแต่เมื่อไหร่"


แมลงปอตอบไม่ถูก
คำถามนี้เป็นเพียง ความคิด
ตนเองไม่รู้จักกระทั่ง บ้านของก้อนเมฆ
จะให้เคยไป หรือ รู้จัก คนที่ไปถึงได้อย่างไร


หมูน้อยยังปั่น ปั่น
แดดแรง ร้อน ร้อน
หมูน้อยเหนื่อย แต่ยังไม่หยุดปั่น


ไม่นานก็มีตั๊กแตนกระโดดมาเกาะหน้ารถ
คำถามเดิมมีมาอีกครา
"เธอจะไปไหนหมูน้อย"
"ฉันจะไปตามหาความรู้ ที่บ้านของก้อนเมฆ"

"อ้อ..." ตั๊กแตนทรงภูมิปัญญาพูดผิดจากผู้อื่น
"แล้วเธอรู้มั้ยว่าบ้านของก้อนเมฆอยู่ที่ไหน"
"ไม่รู้หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าต้องหาเจอ"
หมูน้อยตอบอย่างมุ่งมั่น
"เธอจะควานหา โดยการปั่นจักรยาน…
แบบไม่มีจุดหมาย ทิศทางอย่างนั้นหรือ..."
"ฉันมั่นใจ"
หมูน้อยไม่กลัว
"ถ้าทำอย่างนั้น เธอก็จะทำได้เพียง…
เดินทางอย่างเปล่าประโยชน์ไปทั่วโลก"


"แล้วฉันควรทำอย่างไร"
เป็นครั้งแรกที่หมูน้อยเอ่ยปากถามคำถาม
ที่เกิดประโยชน์แก่ตนเอง


ตั๊กแตนตอบ
"เธอต้องหาให้ได้ก่อน
ว่าก้อนเมฆ…เกิดมาจากไหน...
ถ้าเธอตามรู้ จนเห็นที่เกิดของก้อนเมฆ...
เธอก็จะรู้...บ้านของก้อนเมฆอยู่ที่ไหน"


ตั๊กแตนจากไป
หมูน้อยสงสัย...
จะตามดูการเกิดของก้อนเมฆอย่างไร
..ความสงสัยไม่ทำให้รู้ได้...
..อยากรู้ต้อง ดู เอง…


หมูน้อยปั่น ปั่น ปั่น ไม่หยุด
อยากรู้ก้อนเมฆเกิดอย่างไร
ก็ต้อง ตามดู ก้อนเมฆ

คราวนี้หมูน้อยปั่นจักรยานอย่างมีจุดหมาย
ตามดูเมฆขาวที่ลอยบนฟ้า
ไม่ว่าเมฆเคลื่อนที่ไปไหน
เปลี่ยนแปลงอย่างไร
หมูน้อยตามดูไม่ลดละ


เมฆขาวลอยตัวพบเพื่อนพ้อง
เกาะกลุ่มหนาแน่นเข้า
สีขาวกลายเป็นมืดครึ้ม
หมูน้อยปั่นจักรยานตามดู ไม่คลาดคลา

เมฆหนาแน่น ลอยต่ำ จนเหมือนจะเอื้อมถึง
หมูน้อยเพิ่งมองเห็นกลุ่มเมฆใกล้ชัดถนัดตา

ไม่นานเลย หมู่เมฆกลั่นตัวเป็นฝนห่าใหญ่

ฝนแรกสาดซัดหมูน้อย...

ล้อจักรยานหยุดหมุน
หมูน้อยยืนนิ่ง
ทั้งร่างอาบฝนเปียกปอน


รอยยิ้มปีติแก่ใจ
บ้านของก้อนเมฆ อยู่ไหน ไม่ใช่ปัญหา

ความรู้ ที่แสวงหาจะพบได้อย่างไร
ไม่จำเป็นแล้ว


เมื่อเมฆกลั่นตัวเป็นฝน
แล้วเมฆจะเกิดจากสิ่งใด
รู้ ปลายก็ รู้ ต้น
รู้ที่เกิดแล้วยากอะไร...
จะตามเข้าให้ถึง
บ้านของก้อนเมฆ





ที่มา : http://dungtrin.com/mag/?13.fiction





ดาวน์โหลดไฟล์เสียงอ่านได้ที่นี่นะคะ.....มีให้เลือก ๒ แบบ
คลิกเลยค่ะ........ไฟล์ mp3 ขนาดปานกลาง 64 kbps
คลิกเลยค่ะ........ไฟล์ขนาดเล็ก เหมะสำหรับผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วน้อย



วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550

พุทธทำนายจากพระโอษฐ์ : ฉบับหนังสือผูกอีสาน

Rating:★★★★
Category:Other



พุทธทำนายจากพระโอษฐ์
จากหนังสือผูกอีสาน




             บัดนี้จักกล่าวภาคพื้นติดต่อตามประวัติ ตามแต่เฮามองเห็น หากสิจาไปหน้า อันว่าแนวนามเชื้อผิวเหลืองชนะเลิศ พวกพระสังฆเจ้าประจำไว้สู่เมือง จำพวกผิวขาวเผี้ยงสิพากันแพ้พ่าย พญาครุฑราชเจ้าสิบินเข้าสู่สถาน อันนรานอรินเดินจรก็สิได้กลับต่าว สิได้ไหลหลั่งเข้ากรุงกว้างดั่งเดิม

             ยูท่างบำเพ็ญสร้างศีลทานบ่ได้ขาด ศาสนาของเฮาจังสิฮูงเหลื่อมเสมอแก้วหน่วยพิฑูรย์ ไผผู้มาเพียรสู้ตามพระธรรมเฮาชี้ช่องมานั้น สิบ่ขำเขือกฮ้อนคาถานั้นให้ฮ่ำเฮียน หรือสิเขียนใส่ผ้าพันหัวกันเสนียด หรือเอาไปกราบไหว้แลงเซ้าก่อนเข้านอนอานนท์เอ่ย อานนท์เป็นศิษย์แก้วเพียรเฮาบ่ได้ห่าง เฮาสงสารมากล้นภายหน้าศาสนา ฝูงหมู่อุบาสกอุบาสิกาคณาญาติ ให้พร่ำเพียรต่อสู้อย่าคร้านเศิกยาม เฮาแนะซ่องให้ยากง่ายตามความจริง อันความชั่วให้ละทิ้งเพียรไว้ตั้งแต่ดี ทางไกลก็สิเป็นทางใกล้ คนเฮาไปบ่ได้หย่อน ควรหมั่นสีของหม่นเศร้าให้ใสแจ้งอยู่เฮิ่ง

             ไผผู้บ่เกียจคร้านเพียรหมั่นภาวนา ก็จักมีอายุยืนอยู่เสถียรหายฮ้อน องค์พระยาธรรมเจ้าสิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ให้เพียรสร้างส่วนบุญ หัวทีนั้นพระองค์ทรงยั้งอยู่เมืองใหญ่สีปาด เป็นปัจจุบันเป็นเมืองลานช้างเฮาแท้เที่ยงจริง เผินจักมาเถิงแท้เดือน ๑๑ ขึ้น ๘ ค่ำ

             ครั้น พ.ศ. ไปเถิงสองพันห้าฮ้อยแล้วปีกุนหน้าเที่ยงจริง ลูกแก่นต้นสิตามพ่อโดยเสด็จ กับทั้งหลานสององค์สิเหล่าเทียมมาพร้อม ตามแต่มาศะเกณฑ์ตั้งในระหว่างปีเถาะ ก็จักมีมหาสองยักษ์ยกพลมาล้นมาแต่ทางหนห้องทางปัจฉิมเอ้าอูด มากินสะมะณะพราหมณ์ทั้งหลายให้ตายประมาณได้เจ็ดล้านสามแสนห้าหมื่น บ่ใส่แต่ทอนั้นทวีเท่าทั่วแดน จนว่ามาเถิงปีมะโรงจังสิได้โค้งอ่วย

             ครั้นผู้ใดอยากพบหน้าพระธรรมเจ้าให้หมั่นเพียร เต็มใจสู้ทำศีลทานเททอด ให้พากันอุปฐากพ่อแม่เจ้าสองเฒ่าให้อยู่เย็น ลุเถิงเข้าเขตปีมะเสง แม่น้ำมหาสมุทรไหลเซาะออกมาพังม้าง ฝูงหมู่สังโฆเจ้ามัวหมองปองหาลาภ ธุดงคะคุณมีแต่ละน้อยเพียรสู้ก็บ่หลาย

             พอมาเถิงห้องปีมะเมียแถมถ่าย คนจักละถิ่นบ้านเดินดั้นเทียวขอ ฝูงลูกเต้าสิพรากแม่มารดา กับทั้งบิดาพลัดพรากกันคนก้ำในระหว่างคราวนั้น มันจักเกิดเป็นหนามเสี้ยนคันคายอยู่ในบ่อน เพราะว่าผีป่าในบ้านอืดเสียงผีเมืองดั้นหนีภัยเข้าป่า เมืองกรุงศรีอยุธยาก็จักเกิดเดือดร้อนการเขี้ยวขุ่นมัว อันว่านารีสร้อยฝูงผู้หญิงสิลำบาก จักเกิดเข็ญยากยุ่งเสมอด้ามดั่งกัน วันคืนมื้อกังวนไหวหวั่น

             อานนท์เอ๋ยหากสิเนเที่ยงแท้ภายสร้อยศาสนา พอมาเถิงห้องพระยาลิงปีวอก คนสิออกจากบ้านเดินเข้าสู่ทะเล ถัดจากนั้นมาจวบปีระกา กรรมของพวกชาวมนุษย์มันสิบันดาลให้มีมืดควันคุงฟ้า ดูประมาณได้เจ็ดวันเป็นเขต ในเวลามืดนั้นเทวดาเฮียกเอิ้นเอาผีเสื้อยักษ์หลวง นับอ่านได้เถิงโกฏิเป็นประมาณมากินฝูงหญิงชายหมู่กรรมเหลือล้น กับทั้งฝูงผีเสื้ออีกแสนตัวแข็งขนาด ฝูงคนบุญอย่าได้ประมาทแท้คุณแก้วให้ฮำเพิง ให้พากันบำเพ็ญสร้างบำเพ็ญบำเพ็ญบุญอย่าได้หย่อน ลางเทื่อบุญช่วยยู้เวรฮ้ายสิแล่นหนีแท้แล้ว

             จำจากนี้สิเข้าเขตปีจอ พระยาอินทร์เผิ่นสิแปลงสารทิพย์หว่านโปรยลงพื้น สาส์นนั้นอินตาใช้ตัวทองเขียนขีด เพราะว่าบอกล่วงหน้าพระธรรมเจ้าสิล่วงลง บ่นานแท้ปีเดียวเสด็จด่วน ลงมาเที่ยวตรวจค้นตามบ้านหมู่คน ถ้าบ่ได้พบพ้อคำแห่งพระคาถา อันพระสงฆ์ทำนายคำสอนสั่งมาจริงแจ้ง กับทั้งเป็นคนฮ้ายประมาทธรรมหีนะโหด บอกว่าโทษผู้นั้นเห็นแท้สิเกิดกรรม เลยสิบรรดาลให้ตายโหงลงเลือด เพราะว่าเขาบ่ฮู้จำข้อแห่งพระธรรม ในคราวนั้นคนสิเกิดเหลือหลาย ทั้งหญิงชายบ่คัณนาได้ ฝูงหมู่อาหารเข้าบ่พอกินสิเขินขาด ความอดอยากก็จะบังเกิดขึ้นทั้งเฝ้าฮบเฮ็วแท้แล้ว

             ครั้นผู้ใดได้ฟังแล้วให้เว้าต่อกันฟังแด่เดอ ก็จักมีอานิสงส์อายุยืนยาวมั่น กับทั้งหวังเห็นหน้าพระยาธรรมิกราช เผินสิขึ้นผ่านแผ้วครองคุ้มให้อยู่เย็น ครั้นไผบ่บอกเล่าจาต่อกันไปมัวแต่ปิดบังเสียสิเกิดโภยภายซ้อย ทั้งบ่หวังเห็นห้องความเจริญดั่งเฮาบอก พระยาธรรมิกราชเจ้าเลยจ้อยแม่นบ่เห็น

             ข้อหนึ่งนั้นยังมีสามพี่น้องประสงค์แข่งแดงฤทธิ์ กำหนดกาลเวลาแข่งดีให้เห็นแจ้ง เจ้าผู้พี่ขานไขตามใจเฮารบสิบห้าวันจิงเซายั้ง องค์กลางนั้นเจ็ดวันหักเที่ยง พระองค์น้อยผู้หลังว่าสามมื้อบ่ให้กลายไผสิดีก็ดีหั้น ไผสิตายก็ตามช่าง บ่ให้๙กว่านั้นสิฮามมื้อเศิกคราว แต่นั้นมีมหาเถรเฒ่ากายงามเฮืองฮุ่ง ท่านนั้นเสด็จออกมาจากสามทวีปซ้ำมากั้นบ่ให้เฮ็ว ท่านนั้นโฉมสีเหลื่อมปุนเปรียบพระอาทิตย์ ฮองๆ ใสดั่งมณีโชติแก้ว ยังจักมาแถมซ้ำหกสิบองค์โดยด่วน เผิ่นประสงค์สิมาบอกห้ามภัยฮ้ายแห่งพระยา

             เวลาเข้าเถิงปีกุลจำจือเอาเนอเดือนสิบเอ็ดข้างขึ้นจำไว้อย่าสิลืม ให้พวกท่านทั้งหลายพร้อมหญิงชายชาวโลกเฮาเฮ๋ย ฮีบหากันก่อสร้างกุศลไว้ฮับพระองค์ ครั้นผู้ใดโมโหฮ้ายโลภาโลภมาก ศีลบ่เข้าพระธรรมเจ้าบ่เหลียว มีแต่เมาทางได้บ่ตรึกตรองทางชอบ เห็นแต่ทางหม่อตื้นตัวได้แม่นเอา อันว่าในหนห้วงศีลธรรมพระเจ้าเทศน์มานี้ เขาบ่ตั้งต่อสร้างให้เห็นแจ้งแก่ใจ คนผู้นั้นสิบ่ได้พบพ้อองค์เอกพระยาธรรม สิเกิดมีโภยภัยเบียดเบียนให้ตายเมี้ยน เพราะว่ายุคกุลีขึ้นนำภัยนับบ่ข่วย เมตตานับมื้อน้อยโมโหหุ้มห่อใจ

             ตามกระบิลเบื้ององค์พุทโธเผิ่นกล่าวมานั้น เผิ่นว่า พ.ศ. ๒๕๐๐ กลางปีมาแถมถ่ายมานั้น อุบาทฮ้ายโฮมฮ้อนสิเกิดเป็น มีแต่กุมกันวุ้นถกเถียงหาเหตุ เหลียวเห็นกันมีแต่คิดอยากฆ่าก็ทำได้ดั่งใจ บ่ว่าแต่ไกลและใกล้จีนจามแขกฝรั่ง เกิดรบเร็วอยู่บ่มั้วยั้งเขี้ยวเขาใส่กัน จนว่าโลหิตห้งเสมอธารแม่น้ำใหญ่ เลือดสิท่วมเล็บช้างหนูน้อยได้ล่องลอยพุ้นแล้ว เผิ่นจึ่งซ้ำแล้วซ้ำให้เฮาหน่ำทำบุญ ใ ห้พากันบำเพ็ญจิตใจให้อ่อนโอนหายกระด้าง ลางเทือพอไขได้กันคะดีให้เบาห่าง หรือเพื่อตัดขาดเว้นให้หายเสี้ยงหมู่เวร องค์ก็จึ่งตรัสเผือไว้เสมือนตืมเต็มปัญญา เถิงคราวหน้าปัญญาเฮานับมื้ออ่อน อวิชาตัณหานับมื้อแก่กล้า ธรรมสิเศร้าหม่นหมอง ความจริงธรรมหากรักษาไว้โลกาจิงบ่แตก โลกของเฮานี้หากจักยังอยู่ได้พระธรรมเจ้าจ่องดึง

             อันคราวไปหน้า ความโมหังนับมื้อแผ่ ความมืดใจนั้นนับมื้อห่อหุ้มขังไว้บ่ให้เห็น พอปานเอาฟืนมาอ่อยไว้ทางเย็นนั้นแม่นบ่มี ความดีเผิ่นว่าได้ขันตีธรรมให้เพียรฮำเอาท่อญ หากสิเห็นทางดับมอดเชื้อไฟได้บ่หล่ายความ องค์นั้นมาเป็นกำแพงแก้วกันไฟกองใหญ่เอาความอีดู เมตตากรุณานั้นเป็นน้ำบ่แก้วเทเข้ามอดไฟโลกของเฮา จังสิเย็นอยู่ได้หายกังวลแสนแสบ หัวทีนั้นหัดให้ฮักใกล้ๆ คือพ่อแม่เป็นประถม หักให้สงสารกันตลอดทั้งลุงป้า หัดให้ดีไปเรื่อยๆ ญาติกาชั้นใกล้ก่อน ต่อจากหั้นขอให้รักเพื่อนบ้านบ่มีขั้นต่อไป จนตลอดสัตว์สองเท้าทุบบาทพระหุบท ทั้งอยู่ในดินแดนหมู่ปลาในน้ำ ครั้นว่าเฮาฮักกันแล้ว ความชังก็เลยผ่าย ครั้นความชังหนีจากแล้วความอยากฆ่าแม่นบ่มี ความอยากหักง้าวปืนกระสุนก็อิ๊ดอ่อน มีแต่ฮักฮ่วมห้องเสมอน้องพี่กัน ยู่ถ่างทำการสร้างหากินโดยทางชอบ ประกอบอาชีพล้นชาวเผี้ยงโทษบ่ดี อินทรีพรหมฟ้าเทวดาก็ยินม่วนนำแล้ว เหตุว่าอานิสงส์เมตตานั้น เป็นเสน่หาจ่องน้าวจิตใจนั้นให้ชื่นชม ก็จิงบรรดาลให้ชลธาไหลหลั่ง ข้าวในนาและหมากไม้หวานส้มก็มากมูล ครั้นแม่นมันแข็งกล้าหมดโลกาบ่มีอ่อน ดั่งนั้นก็จักเกิดเดือดร้อนคุงฟ้าดั่งกัน อินตาเจ้าจึ่งหลิงโลกโลกา เผิ่นก็ยินระอาเมืองมนุษย์บาปหนาเหลือล้น อันว่าธรณีเจ้าพระสุธาก็อกแตก เกิดระแหงแผ่ม้างดังขึ้นทั่วไป ฝูงหมู่คนกลัวย้านขวัญหายอกสั่น ย้านแต่ภัยห่อหุ้มสิตายเมี้ยนบ่นาน มันหากบรรดาลขึ้นเพราะเข็ญกรรมที่สัตว์ก่อ พร้อมทั้งฝนขาดฟ้าน้ำขาดห้วยอึดล้นยิ่งทวี ตามทีเผิ่นกล่าวไว้ในปีจอคนสิเข้ามามาก แต่ว่ามันสิลดน้อยเพราะฝนฟ้าบ่ซุ่มเลิ่งแท้แล้ว แต่ว่าราคาข้าวเกวียนเดียวหกร้อยชั่งพุ้นแล้ว นับเงินใส่เม็ดข้าวเสมอเท่าพอกันนั่นแล้ว แต่นั้นอานนท์ต้านขานตอบองค์พุทโธ ครั้นแม่นเป็นจั่งซั้นไผหนอสิค้างโลกพระองค์เอ๋ย แต่นั้นพระองค์แย้มไขวาจาแล้วตรัสบอก

             อานนท์เอ๋ยโชคไผมีจิงสิได้พ้นคือความดั่งกล่าวมานั้น อันนี้เผิ่นกล่าวไว้ตามแห่งสรญาณ ตามความมีแต่ประถมประเหียนได้ ครั้นบ่เป็นจริงแท้สาธุการเป็นจังโชค ขอให้มนุสสาโลกกว้างเจริญขึ้นอย่าเสื่อมถอย อันนี้องค์พุทโธเจ้าหลิงโลกาสอดส่อง เผิ่นก็รู้เหตุฮ้อนดีแล้วจิงเผย เผิ่นเทศนาเอาไว้อาจารย์เฮาจำจื่อจึงดาย เผิ่นได้จารึกไว้เสาหินหน้าวัดใหญ่ เผิ่นบอกให้ฮอดห้องคราวนี้ให้ฮินตรองนั่นท่อญ ไผผู้ได้ฟังแล้วให้พยายามเพียรเอาแน่อีเฮียมเอ๋ย




(คัดจาก “พุทธทำนายจากพระโอษฐ์ และพระปฐมสมโพธิ์ ภาคอีสานฉบับสมบูรณ์” พิมพ์ที่โรงพิมพ์ ลูก ส.ธรรมภักดี พ.ศ. ๒๕๒๙)
โดย เอกอิสโร วรุณศรี




ที่มา : http://scratchpad.wikia.com


พุทธทำนาย : ฉบับถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

Rating:★★★★★
Category:Other



พุทธทำนาย
ถอดความจากศิลาจารึก
เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย




             สาธุอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

             ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ

             คนในสมัยนั้น (คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

             เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก (เอเชีย) ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ (ไหม้จริงที่ภาคใต้ พระไปบิณฑบาตยังไม่ได้เลย แล้วจะกินอะไรละโยม) ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ (เรือดำน้ำ) มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว (เครื่องบินงัย) มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ (ลูกระเบิด) ยักษ์หินที่ถูกสาบ (ภูเขาไฟ) มาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ

             ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

             พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิราชโพธิญาณบังเกิดขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ (ชนบท) จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา

             ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน

             ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล





ที่มา : กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัยแห่งประเทศไทย
http://www.ufothailand.org/ufo/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=5




วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550

เ ว็ บ ไ ซ ต์ พ ร ะ ธ ร ร ม สิ ง ห บุ ร า จ า ร ย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี

http://www.jarun.org


เว็บไซต์พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
http://www.jarun.org




ประวัติวัดอัมพวัน
อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v5/th/ahistory01.html


ประวัติพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v5/th/ajarun01.html


การสวดมนต์

- วิธีการสวดมนต์ การวางจิต ลำดับการสวด
- บทสวดมนต์ บทสวดมนต์ (แปล)
- วิธีการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
- บทแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
- มูลเหตุแห่งการค้นพบพระชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากาฯ)
- พระชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากาฯ) คืออะไร
- อานิสงส์ของการสวดพระชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากาฯ)

อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-pray.html


การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเืบื้องต้น
- วิปัสสนากรรมฐาน
- สติปัฏฐาน ๔
- วิธีปฏิบัติกรรมฐานเืบื้องต้น
- วีดีโอสอน "การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน" โดย หลวงพ่อจรัญ
- อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม

อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-meditation.html


การเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
สำหรับผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวสติปัฏฐาน ๔
- การลงทะเบียนและระยะเวลาเข้าปฏิบัติธรรม
แบบบุคคลทั่วไป
สำหรับชาวต่างชาติ
แบบหน่วยงาน องค์กรหรือหมู่คณะ
แบบไม่ตรงวันที่ทางวัดกำหนด
- การเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรม
- ปฏิทินการเข้าปฏิบัติธรรม
- ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัิติธรรม
- ตารางเวลาการปฏิบัติธรรมในแต่ละวัีน
- ศีล ๘ หรือ อุโบสถศีล

อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-course.html


การเดินทางไปยังวัดอัมพวัน
- การเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง รถตู้ รถยนต์ส่วนตัว
- หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล สำหรับติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v6/th/contact-map.html


ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น
อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.jarun.org/v5/th/varuwan/index.html


ศูนย์วิปัสสนากรรมฐานวัดถ้ำพระผางาม จ.เชียงราย
อ่านรายละเอียดที่นี่.....http://www.thongsuk.org


วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2550

มี ดี ม า ใ ห้ คิ ด . . . เมื่อเราเกิด...เชื่อหรือไม่ว่า..... โดย "ทมยันตี"

Rating:★★★
Category:Other
เมื่อเราเกิด
เชื่อหรือไม่
ว่า.........








 
“เมื่อเราเกิด เชื่อหรือไม่ว่า
สรรพสิ่งนับล้านล้านชีวิตเตรียมต้องตาย เพื่อให้วิถีทางแก่เรา

ลมแบ่งปันอากาศให้เราหายใจ
น้ำทุกละอองกลายเป็นหยาดหยดยาวนาน ให้เราดื่ม กิน
ความร้อน พลังงานแห่งดวงอาทิตย์ปันให้เรา

เราเคยยิ้มให้ดวงอาทิตย์บ้างไหม
ดวงอาทิตย์ให้...ให้ ความร้อนแก่เรา และกำลังเดินทางไปสู่ความดับ

เราเคยก้มลงดูดินที่เราเหยียบบ้างไหม
แม่พระธรณีไม่เคยบ่น แม่พระธรณีให้พืชพันธุ์ธัญญาหารแก่เรา

วัว หมู เป็ด ไก่ ปลา ให้ชีวิตพลีแก่เรา
แม้แต่แมลงเล็ก ๆ ก็ทำหน้าที่ให้เรา

ฉะนั้น ถ้าเราจะต้องตาย เพื่อหลีกให้วิถีชีวิตอื่นบ้าง
เราจะคร่ำครวญเกรงกลัวไย

ถ้าเราดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
จงเชื่อมั่น เราจะเดินไปบนมรณวิถีอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นกัน”


 .................................................................................
“มายาวดี” (นามปากกาหนึ่งของ “ทมยันตี”)
จากหนังสือเรื่อง “ทิพยอาภา”
.................................................................................



 

โองการแช่งน้ำ

Rating:★★★
Category:Other




โองการแช่งน้ำ





                    โองการแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีเก่าแก่มากที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย มีความสำคัญทั้งด้านวรรณคดี นิรุกติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และสังคมของไทย เป็นวรรณคดีที่มีความยาวเพียงไม่กี่หน้า แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นโองการสำหรับใช้อ่านเมื่อมีพิธีถือน้ำกระทำสัตย์สาบานต่อพระมหากษัตริย์



ชื่อ

                 โองการแช่งน้ำนั้น เรียกด้วยชื่อต่าง ๆ กัน กล่าวคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ใช้ในตำราหรือแบบเรียน), โองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า หรือโองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่หมายถึงวรรณคดีเล่มเดียวกันนี้



ประวัติ

                 โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ของไทย นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกัน ว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น แต่นักวิชาการบางท่าน เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าวรรณคดีเรื่องนี้น่าจะแต่งขึ้นอย่างน้อยก็ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงสถาปนาเมืองอโยธยา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอยุธยา) ขึ้น



คำศัพท์และสำนวนภาษา

                 โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ใช้คำเก่า แต่เป็นคำไทย แม้เป็นส่วนมาก ทำให้อ่านเข้าใจยาก ทำให้นักวิจารณ์สับสน ซึ่งแตกต่างจากวรรณคดีที่ใช้ภาษาบาลีหรือสันสกฤต ที่สามารถสืบหาความหมายได้ง่ายกว่า เช่น ลิลิตยวนพ่าย ซึ่งใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตปะปนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

                 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำริ ว่า "โองการแช่งน้ำนี้ เรียกว่า โคลง เขียนเป็นหนังสือพราหมณ์ แต่เมื่อตรวจดูจะกำหนดเค่าว่าเป็นโคลงอย่างไรก็ไม่ได้สนัด ได้เค้า ๆ บ้างแล้วก็เลือนไป แต่เนื้อความนั้นเป็นภาษาไทย ถอยคำที่ใช้ลึกซึ้งที่ไม่เข้าใจบ้างก็มี..." ("พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล", พระราชพิธีสิบสองเดือน)

                 คำศัพท์ในโองการแช่งน้ำมีการผสมผสาน เริ่มตั้งแต่คำศัพท์บาลีและสันสกฤต โดยเฉพาะในช่วงต้นที่เป็นการบูชาเทพเจ้าทั้งสาม เช่น โอม สิทธิ มฤตยู จันทร์ ธรณี เป็นต้น

                 นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ไทยโบราณ มีลักษณะของคำโดดพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่ หลายคำปรากฏอยู่ในเอกสารภาษาไทย และจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัย และอยุธยา นอกจากนี้ยังปรากฏคำในภาษาถิ่นของไทยด้วย เช่น สรวง แผ้ว แกล้ว แล้งไข้ แอ่น แกว่น ฯลฯ

                 สำหรับคำเขมรนั้นปรากฏไม่มากนัก เช่น ถวัด แสนง ขนาย ขจาย ฯลฯ

                 ในส่วนของสำนวนภาษานั้นมีลักษณะการแช่งที่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทย เช่น "ขอให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี"



ลักษณะคำประพันธ์

                 เชื่อกันว่าโองการแช่งน้ำฉบับนี้ แต่งขึ้นด้วย โคลงห้า ที่นิยมใช้กันในอาณาจักรล้านช้างในยุคเดียวกันนั้น กล่าวคือ บาทหนึ่ง มี ๕ คำ เป็นวรรคหน้า ๓ คำ วรรคหลัง ๒ คำ หนึ่งบทมี ๔ บาท นิยมใช้เอกโท (เอกสี่ โทสาม) แต่สามารถเพิ่มสร้อยหน้า และสร้อยหลังบาทได้ ทั้งนี้ยังมีร่ายสลับ จึงนิยมเรียกว่า ลิลิต แม้จะไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมการแต่งลิลิตทั่วไป ที่มักจะแต่งร่ายสุภาพร้อยกับโคลงสุภาพ หรือร่ายดั้นร้อยกับโคลงดั้น ก็ตาม

                 ตามหลักแล้ว ลิลิต หมายถึง หนังสือที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท โคลง และร่าย สลับกันเป็นช่วง ๆ ตามธรรมเนียมแล้ว มักจะใช้โคลงและร่ายในแบบเดียวกัน กล่าวคือ โคลงดั้น สลับกับร่ายดั้น, โคลงสุภาพ สลับกับร่ายสุภาพ อย่างนี้เป็นต้น โคลงและร่ายที่สลับกันนั้น มักจะร้อยสัมผัสด้วยกัน เรียกว่า เข้าลิลิต

                 วรรณคดีที่แต่งตามแบบแผนลิลิต มักจะใช้ร่ายและโคลงสลับกันเป็นช่วง ๆ ตามจังหวะ ลีลา และท่วงทำนอง และความเหมาะสมของเนื้อหาในช่วงนั้น ๆ สำหรับโองการแช่งน้ำ แม้จะเคยเรียกกันว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำ มาก่อน แต่ในปัจจุบันนักวรรณคดีส่วนใหญ่สมัครใจที่จะเรียกชื่อโดยไม่มีคำว่าลิลิต ทั้ง ๆ ที่ในโองการแช่งน้ำ ก็แต่งด้วยร่ายสลับโคลง ทว่าเป็นร่ายโบราณ สลับกับโคลงห้า ซึ่งไม่ปรากฏแบบแผนที่ไหนมาก่อน



เนื้อหา

                 เนื้อหาในลิลิตโองการแช่งน้ำอาจแบ่งได้เป็น ๕ ส่วนด้วยกัน ดังนี้

                 ๑. สดุดีเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์ ตามความเชื่อของฮินดู ได้แก่ พระผู้ประทับเหนือหลังครุฑ "สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี" (พระนารายณ์) พระผู้ประทับบนวัวเผือก "เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนปิ่น" (พระศิวะ) และผู้ประทับ "เหนือขุนห่าน" (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้น ๆ

                 ๒. กล่าวถึงกำเนิดโลก และสังคมมนุษย์ อัญเชิญเทพยดา พระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีต่าง ๆ มาเป็นพยาน ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า

                 ๓. คำสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภยันตรายนานา ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า เป็นเนื้อหาที่ยาวที่สุดในบรรดา ๕ ส่วน

                 ๔. คำอวยพรแก่ผู้จงรักภักดีแก่ผู้ที่มีความจงรักภักดี มีเนื้อหาสั้นๆ

                 ๕. ถวายพระพรเจ้าแผ่นดิน เป็นร่ายสั้นๆ เพียง ๖ วรรค



แหล่งข้อมูลอื่น

                 ๑. จิตร ภูมิศักดิ์. โองการแช่งน้ำ และข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา. ดวงกมล : กรุงเทพฯ, ๒๕๒๔.
                 ๒. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. โรงพิมพ์พระจันทร์ : พระนคร, ๒๔๙๖.
                 ๓. สุภาพรรณ ณ บางช้าง, รองศาสตราจารย์. ขนบธรรมเนียมประเพณี : ความเชื่อและแนวทางปฏิบัติในสมัยสุโขทัย. โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕.
                 ๔. นิยดา เหล่าสุนทร. พินิจวรรณกรรม. แม่คำผาง : กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕.





ที่มา : วิกิพีเดียไทย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81






วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550

พุทธทำนาย ๑๖ ประการ : ภัยธรรมชาติ, ผู้อ่อนประสบการณ์บริหารประเทศ, พระธรรมคำสอนถูกเหยียบย่ำ, คอรัปชั่นในแผ่นดิน, คนดีถูกขัดขวางรังแก, คนชั่วเรืองอำนาจ, โค่นล้มราชาธิปไตย ฯลฯ

Rating:★★★★★
Category:Other



















............................................................
"อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น
จะเกิดภัยธรรมชาติขึ้น

คนพาลสันดานชั่ว
คนทุศีล คนทุธรรม
คนทุจริตคิดมิชอบ
จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม

ประชาชนไม่พอใจ
การปกครองแบบราชาธิปไตย"
............................................................






พุทธทำนาย
๑๖ ประการ



สุบินนิมิตข้อที่ ๑ : ภัยธรรมชาติ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นโคล่ำสัน ๔ ตัว วิ่งมาจากทิศทั้ง ๔ มีลักษณะอาการเกรี้ยวกราด ประดุจจะชนกัน ด้วยความโกรธแค้นกันมานาน พอโคทั้ง ๔ วิ่งเข้ามาใกล้กันแล้ว กลับถอยห่างออกจากกันไป ไม่ชนกันเลย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะเกิดภัยธรรมชาติขึ้น คือ ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล จะมีก้อนเมฆขนาดใหญ่ลอยมาจากทิศทั้ง ๔ เหมือนกับฟ้าฝนจะตกลงมาในพื้นปฐพีอย่างหนัก เมื่อก้อนเมฆทั้ง ๔ ลอยเข้ามาใกล้กันแล้ว ก็ลอยถอยห่างออกจากกันไปไม่มีฝนตกลงมาในพื้นปฐพีเลย


สุบินนิมิตข้อที่ ๒ : เยาวชนมั่วสุมเสพกาม พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นต้นไม้นานาชนิด ยังไม่ใหญ่โตพอที่จะมีดอกมีผล แต่ต้นไม้นั้นเต็มไปด้วยดอกและผล จนกิ่งก้านสาขาจะรองรับดอกผลนั้นไม่ไหว
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น กุมารีที่มีวัยยังไม่สมควรจะมีสามี แต่กุมารีนั้นอยากแต่งงานให้เป็นครอบครัว เพราะมีความกระสัน ใฝ่ฝันในราคะตัณหา ใจมีความกำเริบในกามคุณ มีความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอย่างมาก มีความอยากในกามารมณ์แห่งความรักความใคร่ จึงได้แต่งงานกันเมื่ออายุยังวัยเด็ก ถูกต้องตามประเพณีนิยม
                    บางคนมั่วสุมกัน ไม่มีความละอาย เยี่ยงสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็หาวิธีฆ่าลูกในท้องของตัวเอง จึงเป็นบาปกรรมต่อไปในภายภาคหน้ายิ่งนัก เด็กบางคน ยังมีพ่อแม่เลี้ยงดูอยู่บ้าง เด็กบางคนพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ไหว จึงได้ปล่อยปละละเลยให้หาขอทานกินตามลำพัง เป็นเด็กเร่ร่อนจรจัด ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีตระกูล ไม่มีการศึกษา ไม่มีที่พึ่งพาอาศัยในบ้านเรือน ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น อดบ้าง อิ่มบ้าง น่าเวทนายิ่งนัก เหตุการณ์อย่างนี้ จะมีในภายภาคหน้าโน้น ใครได้ไปเกิดในยุคนั้น สมัยนั้น ก็จะต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล


สุบินนิมิตข้อที่ ๓ : พ่อแม่ต้องเอาใจลูก พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิต เห็นฝูงพ่อแม่โคทั้งหลายพากันดูดกิน นมลูกของตัวเอง
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พ่อแม่ทั้งหลาย จะได้อาศัยกินหยาดเหงื่อแรงงานของลูก อาศัยข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่ลูกแสวงหามาเลี้ยงดู พร้อมทั้งเงินทอง ก็ต้องแบ่งปันให้พ่อแม่ได้จับจ่ายใช้สอย ในยุคนั้นสมัยนั้น พ่อแม่ก็ต้องเอาอกเอาใจลูกยิ่งนัก ต้องประจบประแจงปะเหลาะลูกอยู่เสมอ ถ้าพูดต่อลูกดีๆ ลูกก็แบ่งปันเงินทองให้ได้ใช้บ้าง ถ้าพ่อแม่พูดไม่ดี ก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรจากลูกนี้เลย เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๔ : ผู้อ่อนประสบการณ์บริหารประเทศ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงคนทั้งหลายพากันจับลูกโคตัวเล็กๆ เข้ามาเทียมแอกเพื่อลากล้อเกวียน เมื่อลากไปไม่ไหว ก็จะพากันเฆี่ยนตี
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนทั้งหลายจะพากันนิยมเอาเด็กที่จบปริญญามาใหม่ๆ ไปรับราชการแผ่นดิน บริหารการพัฒนาประเทศชาติ บ้านเมือง อันเป็นงานที่หนัก ถึงจะมีความรู้อยู่ก็ตาม แต่เด็กนั้นยังขาดประสบการณ์ ขาดความสามารถ ขาดความรอบรู้ ขาดความรอบคอบ ในการบริหารเศรษฐกิจการเมืองและสังคม จึงเกิดความผิดพลาด ล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ขาดความรับผิดชอบ ขาดดุลการค้า ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ถ่วงความเจริญของประเทศชาติ ทำให้คนดุด่าว่ากล่าวนานาประการ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๕ : ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินความ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นม้าตัวเดียว หัวเดียว มีสองปาก กินหญ้าได้สองทาง กินเท่าไรก็ไม่มีความอิ่มพอ
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ จะใช้อุบายวิธีอันมีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเอาเงินจากคู่กรณีทั้งสอง เอาทั้งฝ่ายโจทก์ เอาทั้งฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นค่าจ้างรางวัลในการวินิจฉัยคดีความบ้าง เอาค่านั้นบ้าง เอาค่านี้บ้าง ถ้าไม่ได้ตามความเรียกร้อง ก็จะไม่รับเรื่องที่มาร้องเรียน ต้องการเท่าไรก็เรียกร้องตามใจชอบถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เรียกร้องเอาน้อย ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเรียกร้องเอาเงินอย่างเต็มที่ แล้วจึงจะมาวินิจฉัยคดี ตัดสินต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีภายภาคหน้าทั่วโลก


สุบินนิมิตข้อที่ ๖ : พระธรรมคำสอนถูกเหยียบย่ำ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นมีหมู่มนุษย์ ถือถาดทองคำอันมีค่ามหาศาล ไปวางไว้สุนัขจิ้งจอกถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะใส่
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น กลุ่มคนที่โง่เขลาปัญญาทราม จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ไปให้ลัทธิต่างๆ เหยียบย่ำทำลาย แล้วถ่ายทอดลัทธิของเขา เอาคำสอนของเขาที่สกปรกโสโครกด้วยกิเลสตัณหา มากลบเกลื่อนในคำสอนของเรา แล้วดัดแปลงแก้ไขคำสอนของเรา ให้เข้ากันกับลัทธิของเขา แล้วประกาศว่า คำสอนของเราตถาคต เป็นส่วนหนึ่งในลัทธิของเขา ให้คนทั้งหลายมีความเข้าใจผิดว่า คำสอนของเราเข้ากันได้กับของเขา ถือว่าเป็นอันเดียวกัน ลัทธิเหล่านั้นก็จะไม่รู้คุณค่าของคำสอนของเราตถาคตแต่อย่างใด มนุษย์อย่างนี้ก็จะมีในเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว และจะมีลัทธิต่างๆ มาอวดอ้างว่าเป็นศาสนาเป็นจำนวนมาก


สุบินนิมิตข้อที่ ๗ : ผู้มีใจต่ำแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นชายคนหนึ่ง เอาหนังสือมานั่งฟั่นให้เป็นเชือก อยู่บนม้านั่ง แล้วมีสุนัขจิ้งจอกคอยกัดกินอยู่ เมื่อฟั่นเชือกเสร็จ สุนัขจิ้งจอกก็กินหมดทันที
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีจิตใจต่ำ ปัญญาทราม จะได้รับสมมุติ ยกย่องขึ้นเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ นั่งทำงานอยู่ในพระราชสำนักระดับสูง อาศัยอำนาจ พระบารมีของพระมหากษัตริย์ ว่าราชการแผ่นดินแทนพระองค์อยู่เนืองนิตย์ โดยมีความโง่เขลาเบาปัญญา พูดจาขาดความสำรวม กล่าวเปิดเผยความลับต่างๆ ในพระราชสำนัก ให้หมู่ประชาชนได้รู้ คนลัทธิต่างๆ ที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ได้ยินเข้า จึงนำเอาไปตีแผ่ โฆษณาให้คนอื่นคลายศรัทธา หมดความเคารพในวงศ์พระมหากษัตริย์ และหมดความเชื่อถือในพระราชวงศ์ต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้นคนที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์ จะเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเอง


สุบินนิมิตข้อที่ ๘ : ทำบุญเลือกหน้า พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นโอ่งน้ำใหญ่และโอ่งน้ำเล็กตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แล้วมีคนทั้งหลายแย่งกันตักน้ำเทใส่โอ่งน้ำใหญ่จนล้นเหลือ ส่วนโอ่งน้ำเล็กไม่มีใครตักน้ำใส่เลย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะมีคนทำบุญโดยเลือกหน้า พระองค์ที่มีอายุมาก พรรษามาก มียศถาบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งต่างๆ จะมีคนให้ความสนใจจะพากันถวายเครื่องไทยทานเป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ของที่ดีๆ มีค่า มีราคา ข้าวปลาอาหาร ปิ่นโตเถาขนาดใหญ่ ตั้งต่อหน้า จนเหลือเฟือ ส่วนพระเล็กเณรน้อยนั่งอยู่รอบข้าง ไม่มีใครคิดถวายอะไรเลย มีแต่งนั่งดูตาปริบๆ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๙ : คอรัปชั่นในแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำรอบนอกใส่สะอาดเยือกเย็น ส่วนน้ำในกลางสระขุ่นข้นเป็นโคลนตม แล้วมีสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย พากันแย่งชิงกินน้ำในสระที่ขุ่นข้นเป็นตมนั้น ส่วนน้ำรอบนอกที่ใสสะอาดเยือกเย็น ไม่มีสัตว์ตัวใดอยากจะกินเลย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนจะมีความโลภ ความอยาก ไม่อิ่มพอในเงินทองมากขึ้น การงานที่สะอาด บริสุทธิ์ และสุจริต ไม่อยากทำ ถือว่า เงินเดือนน้อย ร่ำรวยช้า ไม่พอกับความโลภความอยากของตัวเอง จึงได้ลงสมัครตัวเข้ามาในสภาสันนิบาต เพื่อจะมีอำนาจในการบริหารงานและบริหารเงินของแผ่นดินได้อย่างเต็มที่ ใช้อุบายวิธี อันมีเล่ห์เหลี่ยม ทุจริตคิดมิชอบในเงินของแผ่นดิน มือใครยาว สาวได้สาวเอา จะได้เงินมาด้วยวิธีสกปรกอย่างไร จะไม่มีความละอายแก่ใจตัวเองเลย ขอให้ได้เงินก้อนโตมา ก็เป็นที่พอใจ
                    ลักษณะนี้จะมีกันทั่วโลก มีทั่วทุกประเทศเขตแดน และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น จะเกิดความยุ่งเหยิงในสภาสันนิบาตของประเทศนั้นๆ เพราะการแบ่งสันตำแหน่งในการดูดกินเงินภายในประเทศนั้น ไม่ลงตัว ผู้นั้นจะได้กินน้อย ผู้นั้นจะได้กินมาก ผู้นั้นจะไม่ได้กินอะไรเลย สุดท้ายก็เกิดงัดข้อกันเอง เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๐ : สงสัยในมรรคผลนิพพาน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นหม้อหุงข้าวหม้อเดียวมีความแตกต่างกัน ข้าวในหม้อซีกหนึ่งสุก ซีกหนึ่งดิบๆ สุกๆ อีกซีกหนึ่งข้าวไม่สุกเลย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนในโลกนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป
                    กลุ่มหนึ่งจะมีความเชื่อว่า เราตถาคตเป็นที่พึ่งที่เคารพจริง พระธรรมคำสอนของเราตถาคตเป็นสวากขาตธรรม เมื่อนำไปปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้วจะพ้นจากทุกข์ได้จริง เชื่อว่ามีมรรคผลนิพพานจริง นรกสวรรค์มีจริง กรรมดีกรรมชั่วให้ผลแก่บุคคลที่กระทำจริง ตายแล้วเมื่อยังมีกิเลสตัณหาอยู่เชื่อว่าได้มาเกิดใหม่
                    อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานในยุคนี้ สมัยนี้ มีจริงหรือไม่ เพราะพระพุทธศาสนาได้ล่วงเลยไปนาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีความสมบูรณ์อยู่หรือไม่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในยุคนี้มีจริงหรือไม่ มีแต่ความสงสัยลังเล ไม่แน่ใจ
                    อีกกลุ่มหนึ่งปฏิเสธว่า มรรคผลนิพพานไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี ทำดี ทำชั่วไม่ให้ผลในภายหน้าชาติหน้า ตายแล้วไม่ได้เกิดใหม่แต่อย่างใด ในช่วงปลายพุทธศาสนาโน้น คนจะเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดมากขึ้น ๆ ดังนี้


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๑ : นำพระธรรมมาขายกิน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นคนพวกหนึ่ง เอาแก่นจันทร์แดงที่มีค่าราคาแพง ไปแลกกับนมเปรี้ยวหม้อเดียว ซึ่งไม่สมค่าราคากันเลย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพวกหนึ่ง จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา จะเขียนเป็นตำราเพื่อออกจำหน่าย ขายกิน หารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต เอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ทำเป็นการแสดง แต่งกลอน เพื่อผลประโยชน์ในกัณฑ์เทศน์ แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ค่าจ้างรางวัลอันเป็นอามิส ไม่สมค่าราคากันเลย สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาของเราตถาคตโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๒ : คนดีถูกขัดขวางรังแก พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นน้ำเต้าแห้งเปล่ากลวงใน ตามธรรมดาแล้วจะลอยอยู่บนน้ำ แต่น้ำเต้าเปล่านั้น กลับดิ่งจมลงในน้ำนั้นเสีย
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา
                    ถ้าเป็นฆราวาส ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานในการบริหารประเทศชาติบ้านเมือง คนมีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาสันนิบาต หรือได้รับเลือกเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ จะมีกลุ่มทุจริตคิดมิชอบ เพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆ เบียดสีให้ตกเก้าอี้ไป ในสายตาของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ จะมองเห็นคนดีๆ ว่าเป็นตัวกาลกิณีของเขา ไม่ยอมที่จะให้เข้าไปรู้เห็นในความทุจริตคิดมิชอบของตนคนดีๆ จึงไม่มีในสังคมนี้เลย
                    ถ้าเป็นนักบวช ก็เป็นในลักษณะนี้เช่นกันท่านองค์ใดมีใจบริสุทธิ์ผุดผ่องในพระธรรมวินัย มีความรู้ดี ปฏิบัติชอบต่อมรรคผลนิพพาน ท่านเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจ ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังธรรม จะมองเห็นว่าเป็นพระคร่ำครึล้าสมัยไม่เกิดศรัทธา ไม่อยู่ในสายตาของเขาแต่อย่างใด เพราะใจไม่มีความเคารพเชื่อถือในท่านเหล่านั้น แม้แต่จะแบ่งปันปัจจัยทั้งสี่ ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ ก็ไม่เต็มใจ ถึงจะถวายให้ ก็นิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ท่านเหล่านี้จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก ใครก็ไม่อยากบวชเป็นพระในลักษณะนี้ ในที่สุด พระดีๆ มีคุณธรรม ก็จะค่อยหมดไปๆ ในศาสนาของเราตถาคต เรื่องเหล่านี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๓ : คนชั่วเรืองอำนาจ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นก้อนศิลาแท่งทึบ ขนาดใหญ่เท่าเรือ ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับเรือสำเภาเปล่า ตามธรรมดาแล้ว ก้อนศิลาย่อมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก้อนศิลานั้นกลับลอยอยู่บนผิวน้ำ
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพาลสันดานชั่ว คนทุศีล คนทุธรรม คนขี้โกง คนหัวประจบสอพลอ คนทุจริตคิดมิชอบ คนไม่มีความละอาย จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม เป็นผู้มีบทบาท มีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีพวกพ้องบริวารมาก
                    ถ้าเป็นฆราวาสก็จะมีแต่ผู้เชิดหน้าชูตา ไปไหนมาไหนมีแต่คนเคารพยำเกรง มีฝูงชนให้การต้อนรับเอาใจ เรียกว่าเป็นกระจกบานใหญ่ ให้แสงสะท้อนเงาของประเทศนั้นๆ สังคมของประเทศนั้นมีความเจริญหรือเสื่อมลง ก็ให้ดูกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสภา จะเป็นสื่อบอกประตู้หน้าต่างของสังคมได้เป็นอย่างดี ประเทศใดมีตัวแทนในลักษณะใด จะรู้ได้ว่าผู้ที่เลือกเขาเข้ามา ก็เป็นลักษณะอย่างนั้น เขาจะเลือกเอาเกรดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน
                    ถ้าเป็นนักบวช นักพรต ก็เป็นลักษณะนี้ศาสนาจะมีความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ก็ขึ้นอยู่กับบริษัททั้งสี่ ลำพังพระอย่างเดียว จะโดดเด่นขึ้นในท่ามกลางของสังคมนั้นไม่ได้ พระที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็เพราะญาติโยมนำไปออกข่าวโฆษณา ว่าองค์นั้นมีความขลังอย่างนั้น องค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ มีอภินิหารไปทางไหนก็นำไปออกข่าว องค์ไหนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า ฆราวาสจะเป็นผู้คาดการณ์ให้เอง ในยุคสมัยนั้น พระอรหันต์จะเกิดจากลูกศิษย์ยกให้เอง ศิษย์แต่ละครู ศิษย์แต่ละสำนัก จะผลิตจะกำหนดรูปแบบอาจารย์ของตัวเอง ให้เป็นพระอรหันต์ขึ้น เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของอาจารย์ มีความเคร่งครัดอย่างไร ก็นำไปโฆษณาอย่างหยดย้อย
                    นี่เองก้อนศิลาแท่งทึงจึงได้ลอยอยู่บนผิวน้ำมีความโดดเด่นเห็นได้อย่างชัดเจน จึงเป็นธุรกิจในคราบผ้ากาสาวพัสตร์บังหน้า เอาศาสนามาแอบอ้างหากิน เมื่อช่วงปลายศาสนาโน้นคนจะหมดความเลื่อมใสในศาสนาของเราตถาคต คนที่มีศรัทธาเบาบางก็จะค่อยจืดจางไป เพราะเห็นความชั่วร้ายในพระยุคนั้นๆ ผู้ที่มีปัญญาดี มีความมั่นคง มีเหตุมีผล เขาจะแสวงหาพระที่เป็นพระได้อย่างถูกต้อง เมื่อปลายศาสนาโน้น เรื่องอย่างนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๔ : นักบวชหลงลาภยศ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นนางเขียดน้อยไล่กินงูเห่าตัวมหึมา เมื่อไล่ทันก็กระโดดคาบกลืนกินทันที
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น นักบวชองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคำพูดเป็นวาทศิลป์ เคยแผ่พังพานในการแสดงธรรม มีบทบาทในสังคม มีประชาชนให้ความเคารพเชื่อถือเป็นอย่างมาก ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญจนลืมตัว ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา รักษาใจไม่มีความฉลาด จึงขาดในการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปล่อยให้ไปสัมผัสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงทำให้ใจเกิดอัฏฐารมณ์ คือ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ในกามคุณ มีความกำหนัดย้อมใจ นางเขียดน้อย (สตรี) ได้มองเห็นช่องโหว่ จึงได้วางแผนหว่านล้อมด้วยมารยานานาประการ มีคำหวานอันหยดย้อยเหมือนน้ำอ้อยน้ำตาล ชโลมหัวใจงูเห่าจนหน้ามืดตาลาย หายใจไม่เต็มปอดอีนางเขียดน้อยได้จังหวะก็กระโดดคาบกลืนกินทันทีเรียบร้อยไป


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๕ : แวดล้อมด้วยพระทุศีล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นหงส์สีทองทั้งหลาย ไปห้อมล้อมอีกา อีกาไปไหน ฝูงหงส์สีทองทั้งหลาย ก็ห้อมล้อมเป็นบริวาร
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พระเณรผู้บวชใหม่ ใจยังมีความบริสุทธิ์อยู่ในศีลในธรรม จะห้อมล้อมพระที่ทุศีลทุธรรม จะยกให้เป็นครูอาจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้อย่างเหลือเฟือ อีกาฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาอาหารฉันใด พระทุศีลทุธรรมเหล่านี้ก็ฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาลาภสักการะได้ฉันนั้น และแบ่งลาภสักการะให้แก่หงส์เล็กหงส์ใหญ่ได้อย่างทั่วถึง ฝูงหงส์ทั้งหลาย จึงให้ความสำคัญในอีกาเป็นอย่างมาก
                    ในยุคต่อไปช่วงปลายศาสนาโน้น การเปลี่ยนไปในสังคมของสมณะก็จะเป็นอย่างนี้ พระที่ทุศีลทุธรรมจะเพิ่มมากขึ้น พระเณรที่ขาดการศึกษา จะไม่รู้ธรรมวินัย ไม่เข้าใจว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิดศีล อะไรผิดธรรม จะไม่รู้หน้าที่ของตน เพียงบวชกันตามประเพณีเท่านั้น เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น


สุบินนิมิตข้อที่ ๑๖ : โค่นล้มราชาธิปไตย พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงแพะทั้งหลายพากันไล่จับเสือมาเป็นอาหาร พากันเคี้ยวกินอยู่กรอบๆ
                    พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น ประชาชนทั้งหลายไม่พอใจการปกครองแบบราชาธิปไตย จึงพากันจับกลุ่มเพื่อเรียกร้องต่อต้านการปกครองของพระราชา ให้ได้มาซึ่งการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้พระราชาลดบทบาท ลดอำนาจลง อยู่ในการปกครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน เมื่อพระราชาไม่ยินยอม ก็พากันปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ถ้าพระราชาองค์ใดขัดขืน ก็ลบล้างพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของประเทศนั้นๆ พร้อมด้วยพระราชวงศ์ ให้หมดไปจากประเทศชาตินั้นเสีย
                    มีบางประเทศที่พระราชายินยอมตามคำขอร้องของประชาชน ยอมลงจากอำนาจเดิมคือราชาธิปไตย ประชาราษฎรในบ้านนั้นเมืองนั้น ก็จะพากันให้ความเคารพเชื่อถือในองค์พระมหากษัตริย์ พากันยกย่องเชิดชูในพระราชวงศ์นั้นจนสุดชีวิต เพื่อให้เป็นร่มโพธิร่มไทร เป็นสมมุติเทพ กราบไหว้เทิดทูน ให้เป็นศูนย์รวมน้ำใจของประเทศนั้นๆ ตลอดไปสินกาลนาน เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น




ที่มา : http://www.rta.mi.th/70011u/datahome/tamma/tamnay16.html