วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

“กฤดาภินิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

Rating:★★★★★
Category:Other



กฤดาภินิหาร

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



 


เรียบเรียงโดย...วีรวรรณ วิรุฬหผล
คัดลอกโดย....ง้วนดิน


 






 กฤดาภินิหารในวัยเยาว์



         
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชสมภพนั้น ทรงเป็นทารกชายที่มีรูปพรรณงดงามยิ่งนัก ดังปรากฏในสมุดไทย
(สมุดไทยว่าด้วยเรื่อง อภินิหารบรรพบุรุษ เป็นสมุดไทยกระดาษข่อยขาว เขียนด้วยตัวหมึก รวม ๒ เล่ม) ว่า


          โดยลักษณะกุมารนั้นเป็นจัตุรัสกาย คืออธิบายว่า วัดตั้งแต่เท้าถึงศูนย์สะดือเป็นมัชฌิมะกายได้ส่วนหนึ่ง แลวัดตั้งแต่ศูนย์สะดือถึงผมตกแห่งหน้าผากเป็นส่วนหนึ่ง แลวัดตั้งแต่ศูนย์อุระราวถันไปถึงปลายนิ้วมือข้างซ้ายเป็นส่วนหนึ่ง ข้างขวาเป็นส่วนหนึ่ง ทั้ง ๔ ส่วนนั้นยาวเสมอเท่ากันไม่ก้ำเกิน ที่สะดือนั้นเป็นหลุมลึกลงไปพอจุผลหมากสงทั้งเปลือกผิดกับสามัญชนทั้งหลาย จึงว่าเป็นลักษณะจัตุรัสกาย คือรูปสิริกายเป็นส่วนสี่เหลี่ยมดุจดังพระพุทธลักษณะแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดม

          วันนั้น ขณะที่ทารกน้อยกำเนิด ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอกและฝน แต่กลับเกิดอสุนีบาตฟาดลงมาที่เสาดั้งของเรือนที่คลอด และหามีผู้ใดเป็นอันตรายไม่ เหตุอัศจรรย์ดังนี้ กล่าวกันว่า เกิดด้วยบารมีแห่งพระองค์ที่จะได้ดำรงพระมหาเศวตฉัตรเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

          ครั้นเมื่อเกิดได้ ๓ วัน มีงูเหลือมใหญ่เข้าไปขดเป็นทักษิณาวรรตอยู่ในกระด้งโดยรอบกาย เมื่อบิดามารดามาพบก็มีความวิตกกังวลยิ่งนัก เพราะตามความเชื่อของจีน แสดงถึงเหตุร้ายควรต้องเอาเด็กไปฝังทั้งเป็น เมื่อเจ้าพระยาจักรี ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้กันทราบความ ก็มีจิตกรุณาขอเด็กน้อยไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม  นับตั้งแต่นั้นท่านก็มั่งคั่งด้วยลาภและทรัพย์สิน จึงเรียกเด็กน้อยว่า สิน

          เรื่องราวอันมหัศจรรย์เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง เมื่อเด็กชายสินมีอายุได้ ๑๓ ปี ได้ตั้งบ่อนถั่วขึ้นในวัดโกษาวาส โดยตั้งตนเป็นเจ้ามือ และมีบรรดาสานุศิษย์ในวัดพากันมาแทงถั่ว เมื่อพระอาจารย์ล่วงรู้ก็ลงโทษศิษย์ทั้งหลายที่เล่นแทงถั่วนั้น

          เด็กชายสินผู้เป็นเจ้ามือถูกลงโทษเพื่อประจานสั่งสอนให้เข็ดหลาบ ด้วยการมัดมือคร่อมกับบันไดท่าน้ำ ปล่อยให้ร่างแช่อยู่ในน้ำตั้งแต่เวลาพลบค่ำนั้น แล้วพระอาจารย์ก็ไปสวดมนต์

          ครั้นสวดมนต์เสร็จ เวลาล่วงเข้ายามเศษ พระอาจารย์จึงระลึกได้ว่าได้มัดเด็กชายสินแช่น้ำไว้ ทั้งยังเป็นเวลาน้ำขึ้นด้วย พระอาจารย์จึงรีบไปที่ท่าน้ำพร้อมพระสงฆ์ เห็นน้ำท่วมจนกลบตลิ่ง จึงช่วยกันจุดไต้ตามไฟเที่ยวส่องหา ก็พบว่า เด็กชายสินติดอยู่ริมตลิ่ง มือยังมัดติดอยู่กับบันไดซึ่งหลุดถอนออกมาจากท่าน้ำ เมื่อบรรดาพระสงฆ์ได้ช่วยแก้มัดเด็กชายสินขึ้นมา ก็พบว่ามิได้รับอันตรายแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนักที่รอดชีวิตมาได้


 


 


 





 กฤดาภินิหารเมื่อเป็นกษัตริย์



เผชิญพายุกลางทะเล

          พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกกองทัพเรือไปตีเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อกองทัพเรือไปถึงบางทะลุ เกิดพายุคลื่นลมหนัก เรือรบกองหลวงกองหน้าแตกกลุ่ม ต่างต้องเข้าหาที่กำบังอยู่ในอ่าว พระองค์จึงทรงให้ปลูกศาลเพียงตาขึ้น พร้อมพระราชทานเครื่องกระยาสังเวยบวงสรวงเทพารักษ์ ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน เอาพระบารมีแต่บุพชาติและปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ด้วยพระกฤดาธิการ คลื่นลมก็สงบลงเป็นอัศจรรย์





ทรงขอฝน

          พ.ศ. ๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพหลวงขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ ประทับรอนแรมไปทางสถลมารคจนถึงบ้านกุ่มเหลือง ทรงหยุดตั้งค่ายประทับ เวลานั้นเป็นช่วงคิมหันตฤดูกันดารด้วยน้ำ ผู้นำทางจึงกราบทูลว่า แต่เชิงเขาข้างนี้ไปลงเขาข้างหน้าเป็นระยะไกลถึง ๓ เส้น จะกันดารน้ำยิ่งนัก พระองค์จึงมีพระราชดำรัสว่า

          อย่าปรารมภ์เลย เป็นภารธุระแห่งเรา ค่ำวันนี้อย่าตีฆ้องยาม จงกำหนดนาฬิกาไว้  เพลา ๓ ทุ่ม จะให้ฝนลงจงได้

          แล้วตรัสสั่งให้ปลูกศาลเทพารักษ์เพียงตา กระทำพลีกรรมบวงสรวง ทรงตั้งพระสัตยาธิษฐาน เอาพระบารมีโพธิสมภารเป็นที่พึ่งแห่งไพร่พลทั้งปวง 

         
วันนั้นอากาศปราศจากเมฆฝนและฟ้าลมก็เป็นปกติ ด้วยเดชะพระสัตยาธิษฐาน และเทวานุภาพ พอถึงเวลา ๔ ทุ่ม ๘ บาท ก็บันดาลฝนตกลงจนน้ำนอง ขอนไม้ในป่าไหลลอยไปเป็นอัศจรรย์




ปาฏิหาริย์ที่เมืองตาก

          ต้นปี พ.ศ. ๒๓๑๗ เมื่อเสร็จศึกปราบปรามพม่าที่เชียงใหม่ ระหว่างทางเสด็จกลับพระนคร ได้เสด็จฯ ไปยังพระตำหนักเมืองตาก ขณะที่หยุดพักทัพอยู่ ณ หาดทรายบ้านตาก พระองค์เสด็จฯ ประทับเรือพระที่นั่งล่องไปตามลำน้ำ เรือพระที่นั่งกระทบตอไม้ล่มลง จึงเสด็จฯ ขึ้น ณ หาดทราย เมื่อหลวงรักษ์โกษาซึ่งตามเสด็จฯ มาด้วยเชิญห่อพระภูษาซึ่งชุ่มน้ำมาคลี่ออกดู ก็พบพระภูษาชิ้นหนึ่งแห้งเป็นปกติอยู่น่าอัศจรรย์นัก

          การเสด็จฯ ไปเมืองตากของพระองค์ยังมีเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติลานสาง ว่า

          เมื่อทรงพักทัพอยู่ที่บ้านระแหง เมืองตาก มีชาวมอญมาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก ทหารพม่าจึงติดตามมารุกราน พระองค์เสด็จฯ นำทัพไปรุกไล่จนพลัดหลงกับกองทัพ ด้วยสภาพพื้นที่เป็นป่าเขารกทึบ และเป็นเวลากลางคืน กองทัพมิอาจติดตามพระองค์ได้ จึงพักทัพลง ในขณะที่พักทัพอยู่นั้น ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และพลันได้ยินเสียงม้าศึกร้อง เหล่าทหารจึงรีบรุดไปยังจุดนั้น พบพระองค์ทรงประทับม้าอยู่กลางลานหิน มีแสงสว่างออกจากพระวรกาย ส่วนทหารพม่าหมอบอยู่โดยรอบ

          ขณะนั้นเป็นเวลาฟ้าสางพอดี จึงพากันเรียกบริเวณนั้นว่า ลานสาง และตรงที่พระองค์ประทับม้า บริเวณน้ำตกชั้นที่ ๒ ก็ยังปรากฏร่องรอยเป็นรูปเกือกม้าของพระองค์ประทับติดอยู่




เสี่ยงบารมีตีระฆังแก้ว

         
ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่ที่เมืองตาก ภายหลังจากเสร็จศึกกับพม่าที่เมืองเชียงใหม่นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลและนมัสการพระปฏิมากรที่วัดดอยเขาแก้ว ครั้งนั้นได้ตรัสถามพระสงฆ์ว่าจำพระองค์ได้หรือไม่


          พระสงฆ์รูปนั้นยังจดจำพระองค์ได้ดี มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระองค์ยังอยู่ที่บ้านระแหง ได้กระทำสัตยาธิษฐานเสี่ยงบารมีว่า

          ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาล ข้าพเจ้าตีระฆังแก้วเข้าบัดนี้ ให้ระฆังแก้วแตกจำเพาะที่จุก จะได้ทำเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

          ครั้นอธิษฐานแล้วตีระฆัง ระฆังก็แตกแต่เฉพาะจุก เห็นประจักษ์เป็นที่อัศจรรย์

          เรื่องการเสี่ยงบารมีนี้ บางตำนานเล่าว่า ได้ใช้ไม้เคาะระฆังขว้างไปโดยไกลยังลูกแก้วหรือถ้วยแก้ว อธิษฐานว่า ขอให้ไม้ถูกจำเพาะส่วนที่คอดกิ่วอยู่ ลูกแก้วนั้นอย่าได้เสียหาย ปรากฏว่า ไม้เคาะระฆังขว้างไปถูกดังคำอธิษฐาน จึงได้นำลูกแก้วนั้นไปติดไว้ที่ยอดพระเจดีย์

          ปัจจุบันลูกแก้วยอดพระเจดีย์วัดดอยเขาแก้วได้หายไปแล้ว และเล่ากันว่า ยังมีเจดีย์อีกองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานลูกแก้วเสี่ยงทาย อยู่ที่วัดกลางสวนดอกไม้ใกล้กับวัดดอยเขาแก้ว แต่ลูกแก้วนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน

 





ที่มา จากหนังสือ
กฤดาภินิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

(พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑)


 









หนังสือ กฤดาภินิหาร
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



         
หนังสือ กฤดาภินิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหนังสือที่องค์การค้าของคุรุสภาได้จัดทำขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ ๔๘ ปีองค์การค้าของคุรุสภา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อเทิดพระเกียรติแด่กษัตริย์นักรบผู้กล้า และเพื่อปลุกจิตสำนึกให้อนุชนรุ่นหลังได้ภาคภูมิใจในเอกราชและความเป็นไทย


          กฤดาภินิหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจัดพิมพ์เป็นเล่มขนาดใหญ่ (A5) และเล่มจิ๋วขนาดประมาณเท่าปลายนิ้วมือ จำนวนรวม ๓๐,๐๐๐ ชุด ได้นำไปร่วมประกอบการบวงสรวงในพิธีพราหมณ์ และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ได้ทรงพระกรุณาทำพิธีแผ่เมตตาจิตให้ด้วย

         
ในหน้าถ้อยแถลงของผู้อำนวยการองค์การค้าของคุรุสภา กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ว่า

         
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณแก่บ้านเมืองในอดีต ด้วยทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาสู่มาตุภูมิในยามที่คนไทยไร้อิสรภาพ นับเป็นมหาวีรกรรมที่จารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย



น้อมรฦกถึงพระมหากรุณาธิคุณ

คุณหวานเจี๊ยบ
ธันวาคม ๒๕๕๑










5 ความคิดเห็น:

  1. เป็นหนังสือที่น่าสนใจ ศึกษาไ้ด้ความรู้เิ่ิพิ่มเติมในแง่มุมที่เราไม่เคยได้รู้มาก่อน ขอบคุณมากที่นำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันครับ

    ตอบลบ
  2. กู้ชาตได้ ก็บดบังมิได้แล้ว แต่สงสัยว่ารูปเขียนนั่นที่เฮดซ็อต ใครอ่ะครับ

    ตอบลบ