วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

จดหมายฉบับที่ ๒ จาก "ระพี สาคริก" ปรามคนหลงอำนาจ

Rating:★★★★★
Category:Other


  "ถ้าข่าวนี้เป็นความจริง
  คงเกิดจากคนที่หลงอำนาจ
  ทำให้ไม่สามารถมองปัญหา
  ไกลกว่าปลายจมูกตัวเอง

  เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ
  ถ้าคนที่ถือพุทธอย่างแท้จริง
  จะไม่หลงอำนาจ
  เหตุการณ์ครั้งนี้คงแก้ไขได้ไม่ยาก"


 


 


 



 


“ระพี” ปรามคนหลงอำนาจ
จับ ๕ แกนนำ ปชช. ลุกฮือแน่


 


โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑  ๑๒:๕๕ น.


 



          “ระพี สาคริก” ส่ง จม.ฉบับที่ ๒ ถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” และแกนนำพันธมิตรฯ แสดงความห่วงใยหลังมีข่าวรัฐบาลสั่งจับ ๕ แกนนำ ชี้หากข่าวจริงคงเกิดจากคนหลงอำนาจ เตือนจะซ้ำรอยการสั่งจับหัวหน้าเสรีไทย และเป็นชนวนลุกฮือของประชาชนเหมือนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา
       
          หลังจากที่วานนี้ (๒๕ พ.ค.) ศ. ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโส ปูชนียบุคคลของสังคมไทย ได้เขียนจดหมายให้กำลังใจ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการออกมาชุมนุมต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุถึงภัยอันตรายของประเทศจากการมีไส้ศึกเหมือนพระยาจักรีในสมัยอยุธยา
       
          ล่าสุด วันนี้ ศ. ระพี สาคริก ได้เขียนจดหมายด้วยลายมือส่งถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ เป็นฉบับที่ ๒ แสดงความเป็นห่วง หลังจากมีข่าวว่ารัฐบาลจะจับกุมตัว ๕ แกนนำ ดังนี้

      



๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๑
      
เรียน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำ
       
          ผมได้ข่าวว่าจะมีการสั่งจับแกนนำทั้ง ๕ คน ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

          ถ้าข่าวนี้เป็นความจริง คงเกิดจากคนที่หลงอำนาจ ทำให้ไม่สามารถมองปัญหาไกลกว่าปลายจมูกตัวเอง
       
          มันเคยมีตัวอย่างมาแล้วในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งขณะนั้นเรามีหน่วยเสรีไทย ญี่ปุ่น เคยสั่งจับหัวหน้าเสรีไทย แต่แล้วนายพลญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ทักท้วงเอาไว้ ทำให้ต้องยกเลิกคำสั่งกระทันหัน พ่อตาผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยถูกสั่งจับตัวด้วย
       
          คำสั่งดังกล่าว ถ้าหากมีจริง คนที่ยังไม่ได้มาร่วมจะลุกฮือทั้งประเทศ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม เกิดขึ้นก็เพราะเหตุนี้ ไม่เชื่อก็ลองถาม คุณธีรยุทธ บุญมี ดู
       
          ผมไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ถ้าคนที่ถือพุทธอย่างแท้จริงจะไม่หลงอำนาจ เหตุการณ์ครั้งนี้คงแก้ไขได้ไม่ยาก



                              ด้วยความเคารพรักทุกคน
                                                           
                              ระพี สาคริก



 
 
ที่มา : http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000061001



 


 





 


 


 


วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

จดหมายจาก “ระพี สาคริก” เตือนระวัง “ไส้ศึก”

Rating:★★★★★
Category:Other


"ศึกทางเศรษฐกิจ
มันหนักยิ่งกว่าศึกที่ใช้อาวุธ
ไม่เพียงต้องการคนที่กล้าหาญ
จากคมดาบและปืน
หากต้องการคนที่กล้าหาญ
ในด้านจริยธรรม


ขณะนี้สังคมไทยกำลังมี
หนอนบ่อนไส้
ซึ่งหนอนประเภทนี้
ในที่สุดมันก็ไปไม่รอด
พอข้าศึกได้ประโยชน์แล้ว
ในที่สุดเขาก็ไม่คบมัน

แบบพระยาจักกรีกับพะม่า"


 


 




 



“ระพี สาคริก” เตือน
ระวัง “ไส้ศึก”

ส่ง จม.ให้กำลังใจ “สนธิ-พันธมิตรฯ”
ร่วมกู้ชาติ!




โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ๑๐:๕๗ น.



          “ระพี สาคริก” ส่งจดหมายให้กำลังใจ “สนธิ ลิ้มทองกุล” และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคน ชี้สังคมไทยกำลังต้องการคนที่กล้าหาญมากอบกู้แผ่นดินไทยให้พ้นจากวิกฤต และเตือนสังคมไทยกำลังมีหนอนบ่อนไส้แบบพระยาจักรีที่เป็นไส้ศึกให้กับพม่าจนเสียกรุงครั้งที่ ๑

          ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ปูชนียบุคคลของสังคมไทย วัย ๘๖ ปี ได้เขียนจดหมายถึงนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคนมีใจความว่า



       
๒๕ พฤศภาคม ๒๕๕๑

เรียน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่นับถือ
   
          ผมขอเรียนว่า คอยให้กำลังใจแก่คุณและทุกคนในการกอบกู้อิสรภาพของแผ่นดินไทย ซึ่งขณะนี้กำลังตกอยู่ในสภาพพิบัติ ซึ่งยิ่งกว่าวิกฤติ

          ผมอายุเกือบ ๙๐ ปีแล้ว แม้นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก็รู้สึกเป็นห่วงบ้านเมืองอย่างมาก

          ศึกทางเศรษฐกิจ มันหนักยิ่งกว่าศึกที่ใช้อาวุธ ไม่เพียงต้องการคนที่กล้าหาญจากคมดาบและปืน หากต้องการคนที่กล้าหาญในด้านจริยธรรม

          ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีหนอนบ่อนไส้ ซึ่งหนอนประเภทนี้ในที่สุดมันก็ไปไม่รอด พอข้าศึกได้ประโยชน์แล้ว ในที่สุดเขาก็ไม่คบมัน แบบพระยาจักกรีกับพะม่า ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณนะครับ


                                     ด้วยความเคารพ
                                     ระพี สาคริก



       
          ศาสตราจารย์ระพี ถือเป็นปูชนียบุคคลของสังคมไทย แม้จะอายุล่วงมาเกือบ ๙ ทศวรรษ แล้ว ก็ยังไม่เคยอยู่นิ่งทั้งคิด ทั้งเขียน แสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ของบ้านเมือง ทั้งไปบรรยายตามที่ต่างๆ รวมทั้งออกต่างจังหวัดเพื่อให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนอย่างสม่ำเสมอ

          ส่วนพระยาจักรี คือ หนึ่งในเสนาที่ถูกกุมตัวไปยังกรุงหงสาวดี เมื่อครั้งแพ้สงครามช้างเผือก ก็เห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้ผู้ที่คิดแผนตีกรุงศรีอยุธยาลงได้ จึงเสนอตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในกรุงศรีอยุธยา โดยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาทำทีเป็นว่าลอบหนีมาจากกรุงหงสาวดีได้ ประกอบด้วยความไว้พระทัยที่พระมหินทราธิราชมีต่อพระยาจักรีผู้นี้ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่มีความสำคัญ และให้ทหารที่ไร้ฝีมือมาเป็นทัพหน้าประจัญบานกับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง เพียงข้ามคืนกรุงศรีอยุธยาก็พ่ายแพ้ เสียกรุงให้แก่พม่าเป็นครั้งแรก พระยาจักรีเมื่อกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองก็ผิดคาดด้วย พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรีเนื่องจากการเป็นกบฏ

 


ที่มา : http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000060469


 


 


 





 


 


 


วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

"พิธีเข้าทรงพระเจ้าตาก" ที่ "เมืองนคร"....เพื่อใคร ????

Rating:
Category:Other

 



"ในการสักการะองค์หลักเมืองนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า
นายสมชายได้ใช้ผ้าดิ้นเงินและผ้าดิ้นทอง
รวมทั้งแพร ๗ สี ประกอบพิธี
ซึ่งได้สร้างความตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่
และผู้ที่เห็นเหตุการณ์มาก
โดยนายสมชายได้ก้าวขึ้นไปยืน
บนแท่นหินแกรนิตประดิษฐานหลักเมืององค์ประธาน
อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
และใช้ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองไปผูกทับที่บริเวณครอบแก้ว
ที่ครอบองค์หลักเมืององค์จริงไว้
โดยภายในบริเวณรอบพระศอเสาหลักเมืองนั้น
มีผ้าสีชมพูที่เป็นผ้าที่
องค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ทรงผูกเจิมองค์ศาลหลักเมืองเมื่อหลายปีก่อน"


 


ขอฟังเสียง
"ลูกหลานพระเจ้าตาก"
กับ
"คนคอน"
หน่อยจ้า



 


 




"แม้ว"ผวา
สหบาทาคนคอน
ส่งน้องสาว
ทำพิธีเข้าทรง
พระเจ้าตาก



 


โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ๑๕:๕๖ น.



"น้องสาว-น้องเขย” ที่แสนดี กรุยทางเตรียมพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินฯ รอให้ “แม้ว” บินด่วนไปร่วมงาน ที่วัดเขาขุนพนม จ.นครศรีธรรมราช ล่าสุดเกิดอาการ ผวาสหบาทาจากชาวเมืองนครฯ เปลี่ยนแผนเป็นฮอตไลน์คุยกับร่างทรงแทน
      
       วันนี้(๑๗ พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยสามี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เดินทางไปสักการะพระบรมธาตุ ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พร้อมนมัสการเจ้าอาวาส
      
       ทั้งนี้มีรายงานว่า ในวันเดียวกัน เวลา๑๐.๐๐ น. ทั้งสองจะเดินทางต่อไปยังวัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เพราะทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งวัดดังกล่าว ชาวนครศรีธรรมราชเชื่อกันว่าเป็นวัดที่พระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จฯหนีมาบรรพชาจนสิ้นพระชนม์
      
       อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือสะพัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาร่วมพิธีบวงสรวงด้วย ในขณะที่ทีมติดตามนางเยาวภาและนายสมชาย กลับปิดปากเงียบ ปฏิเสธไม่รู้ถึงข่าวดังกล่าว
      
       ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมจะเดินทางมาร่วมพิธีดังกล่าวด้วยจริง แต่เมื่อมีข่าวรั่วออกไป ทำให้ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทราบเรื่องต่างแสดงความไม่พอใจกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่ให้การรับรองความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้าที่จะเดินทางลงไป แต่จะให้น้องสาวและน้องเขยเป็นผู้ประกอบพิธีแทน โดยเฉพาะพิธีเข้าทรงสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้วิธีโทรศัพท์ทางไกลมาสนทนากับร่างทรงแทนเดินทางไปด้วยตัวเอง


 


ที่มา : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000057564


 


 


 


 


“แม้ว” เซ็ง
ข่าวรั่ว
อดร่วมพิธี
เข้าทรง
พระเจ้าตาก
ทางมือถือ
 


 


โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ๑๖:๐๑ น.


  
นครศรีธรรมราช - ข้าราชการเมืองคอนตบแถวรับตระกูล “ชินวัตร” บวงสรวงพระเจ้าตาก ซึ่ง “ทักษิณ”ส่งน้องเขยน้องสาว”สมชาย-เยาวภา”รวมญาติชินวัตร ตระเวนทำพิธีบวงสรวงวัดเมืองคอน โดยมีการเตรียมทำพิธีเข้าทรง แต่ถูกเปลี่ยนแปลงกำหนดการเนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดตามจนสร้างความไม่พอใจให้กับนายสมชายเป็นอย่างมาก
  
    
       ความคืบหน้าของกรณีที่ นายสมชาย วงค์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางเยาวภา วงค์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชาย น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งบรรดาญาติพี่น้องและคนในตระกูลชินวัตรได้ตระเวนทำพิธีบวงสรวงและนมัสการสิ่งศักดิ์ตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าอย่างละเอียดว่า ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ น. วันที่ ๑๗ พ.ค.ภายหลังจากที่คณะนายสมชายลงเครื่องสนามบินพาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ได้มีบรรดาข้าราชการทั้งนายวิชม ทองสงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนคร พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ ผบก.ภ.จว.นศ.รวมทั้งบรรดาหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องเดินทางไปให้การต้อนรับ จากนั้นคณะทั้งหมด โดยนายสมชายและนางเยาวภาได้เข้านมัสการพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จากนั้นพระเทพวินยาภรณ์ได้ใช้เวลาในการเจริญพรพระพุทธมนต์ให้กับนายสมชายและครอบครัวตระกูลชินวัตรนานกว่าครึ่งชั่วโมง
      
       จากนั้นนายสมชาย นางเยาวภา ได้นำพาครอบครัวชินวัตรทั้งหมดที่ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้เข้านมัสการองค์พระมหาธาตุเจดีย์ เข้ากราบไหว้องค์จตุคามรามเทพที่ประดิษฐานอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นพระธาตุเจดีย์ก่อนที่จะขึ้นไปเดินรอบองค์พระบรมธาตุ ๓ รอบ แล้วออกจากเจดีย์มายังบริเวณลานพระบรมธาตุพร้อมทั้งการทำพิธีบวงสรวงองค์จตุคาม โดยมีพราหมณ์สุเมธ พรหมชาติ ซึ่งเป็นพราหมณ์ราชสำนักประจำเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเจ้าพิธี โดยในพิธีนั้นมีการทำพิธีอย่างใหญ่ มีการบวงสรวงเครื่องสูงประกอบด้วยฉัตร ๙ ชั้น พร้อมทั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ครบครัน โดยใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงเช่นเดียวกัน
      
       ในเวลา ๐๙.๐๐ น.นายสมชาย นางเยาวภาและคณะทั้งหมดได้เข้านมัสการศาลหลักเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นมัสการหลวงปู่ทวด และพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาลหลักเมือง มีการจุดธูปเทียนชุดใหญ่ โดยบริเวณด้านหน้าทิศใต้มีการจุดเทียนเงินและเทียนทองรวม ๒ คู่ ประกอบกับเทียนขี้ผึ้งขาวอีก ๕ เล่ม และได้วนจุดธูปเทียนบูชาเทพทั้ง ๔ ทิศ ประจำศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และในการสักการะองค์หลักเมืองนั้นเป็นที่น่าสังเกตว่า นายสมชายได้ใช้ผ้าดิ้นเงินและผ้าดิ้นทอง รวมทั้งแพร ๗ สีประกอบพิธี ซึ่งได้สร้างความตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ที่เห็นเหตุการณ์มาก โดยนายสมชายได้ก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นหินแกรนิตประดิษฐานหลักเมืององค์ประธานอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และใช้ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองไปผูกทับที่บริเวณครอบแก้วที่ครอบองค์หลักเมืององค์จริงไว้ โดยภายในบริเวณรอบพระศอเสาหลักเมืองนั้นมีผ้าสีชมพูที่เป็นผ้าที่องค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงผูกเจิมองค์ศาลหลักเมืองเมื่อหลายปีก่อน




       ในเวลา ๑๐.๐๐ น.คณะทั้งหมดก็ได้เดินทางไปยังวัดเขาขุนพนม หมู่ที่ ๔ ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช โดยนายสมชายได้เข้านมัสการพระครูสังฆรักษ์ ปิยธโร เจ้าอาวาสวัดเขาขุนพนม ซึ่งนายสมชายและนางเยาวภาได้เข้าไปตีฆ้องเพื่อเป็นศิริมงคลให้กับตนเองก่อนที่จะเข้าไปร่วมพิธีกรรมสวดเจริญพระพุทธมนต์ภายในอุโบสถหลักเก่าของวัดเขาขุนพนมที่มีอายุนับ ๑๐๐ ปี โดยพิธีทางสงฆ์ใช้เวลานานร่วมชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
      
       ต่อมานายสมชายและนางเยาวภาและคณะได้เดินขึ้นบันไดกว่า ๒๐๐ ขั้น ซึ่งเป็นบันไดพญานาค ๗ เศียร เข้าร่วมในพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากสินมหาราชที่มีการเตรียมพิธีเอาไว้บริเวณด้านหน้าศาลาพระเจ้าตากที่มีรูปหล่อออกศึกของพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐานอยู่ จากนั้นพราหมณ์สุเมธก็ได้ทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากอีกครั้งโดยมีนายสมชาย นางเยาวภา และคนในตระกูลชินวัตรร่วมพิธีอยู่ตลอดเวลาในชุดนุ่งกางเกงขาว เสื้อขาว ทุกคน
      
       ภายหลังเสร็จพิธีบวงสรวงของพราหมณ์ท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เข้าสักการะองค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ปรากฎว่าได้สร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.พรหมครี ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ยิงสลุตด้วยปืนเอสเคจำนวน ๒๑ นัด และการจุดประทัดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งเป็นการยิงสลุดเพื่อเป็นการบวงสรวง โดยตามพิธีโบราณและเป็นสากลนั้น มีความเชื่อว่าการยิงสลุดจำนวน ๒๑ นัดนั้นเป็นการถวายพระเกียรติแก่พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ชั้นสูง ในขณะที่สงฆ์ในวัดก็เริ่มสวดพระพุทธมนต์ ซึ่งในการทำพิธีของพราหม์สุเมธได้มีการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย รวมทั้งพระเจ้าตากสิน ในการเดินทางมาสักการะของนายสมชายและครอบครัวเพื่อมาสักการบูชาบวงสรวงพระเจ้าตากสินให้สุขสวัสดิ์ตลอดไป ขอบวงสรวงให้มีชัย มีความสุข ให้ศัตรูพินาศ
      
       จากสอบถามคนสนิทของนายสมชายและนางเยาวภา ได้รับการเปิดเผยว่า การเดินทางมานครในครั้งนี้ทั้งนายสมชายและนางเยาวภารวมทั้งคนในตระกูลชินวัตร มาเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามกำหนดเดิมที่จะเดินสายนมัสการไหว้พระให้ได้ ๙๙ วัด โดย พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการลงมาภาคใต้ด้วยตัวเองเนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยจึงให้น้องเขย น้องสาวมาแทน ซึ่งในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ หลังจากเสร็จงานราชการในการพบปะข้าราชการในระดับผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครศรีธรรมราชในการมอบนโยบายที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ ช่วงเย็นก็จะเดินทางไปที่วัดสวนขัน อ.ฉวาง เพื่อนมัสการพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ก่อนที่จะเดินทางกลับ กทม.
      
       อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าแหล่งข่าวคนเดียวกันระบุว่าการเดินทางนอกเหนือกำหนดการเดิมที่มีภารกิจในการมอบนโยบายในฐานะ รมว.กระทรวงศึกษาในช่วงบ่ายของวันนี้นั้น สืบเนื่องจากครั้งแรก พ.ต.ท.ทักษิณมีกำหนดการจะเดินทางมาด้วยตัวเองโดยมีเป้าหมายที่วัดเขาขุนพนม และมีการเตรียมทำพิธีทรงเจ้า แต่ถูกเปลี่ยนแปลงกำหนดเดิม โดยในช่วงการทำพิธีนางเยาวภาจะต่อสายใช้โทรศัพท์ไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งนั่งรอร่วมพิธียังสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งแต่ก็ต้องถูกยกเลิกเนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดตามจนสร้างความไม่พอใจให้กับนายสมชายเป็นอย่างมาก


 


ที่มา : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000057662


 


 


 


 



‘เทพไท’ กังขา
‘สมชาย-เจ๊แดง’
บวงสรวงใหญ่
ที่เมืองคอน
เพื่อใคร
 



 


โดย...ผู้จัดการออนไลน์
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ๑๔:๑๗ น.


 


นครศรีธรรมราช - “เทพไท” กังขา “สมชาย-เจ๊แดง” เดินสายทำพิธีบวงสรวงสุดพิเศษกว่าคนธรรมดาเพื่อใคร เผยคนโบราณบอกเป็นการบวงสรวงในระดับเจ้านายชั้นสูงแทบทั้งสิ้น
      
       วันนี้ (๑๘ พ.ค.) ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย วงสวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางเยาวภา วงสวัสดิ์ และครอบครัวตระกูลชินวัตร ส่วนหนึ่งได้เดินทางมาตระเวนทำบุญสักการะบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายจุดที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก ในฐานะที่เป็น ส.ส.ได้รับฟังเรื่องนี้มาและสิ่งที่สะท้อนมาพฤติกรรมของรองนายกรัฐมนตรี วานนี้ถูกตั้งคำถามว่ามาในฐานะใด ว่ามาในฐานะรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรงศึกษาธิการ หรือมาในฐานะของน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือมาในฐานะเลือดเนื้อเชื้อไขชาวนครศรีธรรมราช มาประกอบภารกิจราชการในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ หรือมาประกอบภาระกิจแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่กล้ามาทำพิธีตามความเชื่อให้ครบ ๙๙ วัดได้
      
       นายเทพไท กล่าวต่อว่า ถ้ามาในฐานะส่วนตัวหรือส่วนบุคคล ชาวบ้านเขามีคำถามว่าทำไมจึงต้องใช้บุคคลากรและทรัพยากรของส่วนราชการ มาทำบุญสะเดาะเคราะห์ และพฤติกรรมในการทำพิธีผิดแปลกแหวกแนวไปจากคนธรรมดาปฏิบัติ ที่ศาลหลักเมือง วัดพระมหาธาตุ หรือวัดขุนเขาพนม มีความเหมาะสมหรือไม่ ในการจัดพิธีการที่พิเศษกว่าบุคคลธรรมดาพึงปฏิบัติ
      
       จึงเกิดคำถามต่อว่า พิธีกรรมนั้นทำให้กับใคร ด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ เพราะพิธีกรรมนี้คนโบราณบอกว่าเป็นการบวงสรวงในระดับเจ้านายชั้นสูงแทบทั้งสิ้น แต่ถ้าพิธีกรรมดังกล่าวทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ และถ้าเป็นจริงย่อมมีความสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในฐานะใดกันแน่ จะต้องตอบให้ชัดว่าที่มานั้นมาทำเพื่อวัตถุประสงค์ใดอย่าโทษสื่อ


 


ที่มา : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000057827


 


 


ตามไปอ่าน
หลากหลายความคิดเห็น
ที่ผู้อ่านแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ผู้จัดการ
ตามลิงค์ข้างล่างนี้

คลิกเลยจ้า

"แม้ว"ผวาสหบาทาคนคอน
ส่งน้องสาวทำพิธีเข้าทรงพระเจ้าตาก



“แม้ว” เซ็งข่าวรั่ว
อดร่วมพิธีเข้าทรงพระเจ้าตากทางมือถือ


‘เทพไท’ กังขา ‘สมชาย - เจ๊แดง’
บวงสรวงใหญ่ที่เมืองคอนเพื่อใคร


(ภาพนี้แถม)
 

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ทำไมไม่ให้คบ "เขมรขาว ลาวใหญ่ ไทยเล็ก เจ๊กดำ"...ต้นฉบับที่เหลือกับความทรงจำดี ๆ

 
 
 
 

มีเหตุอะไรทำไมไม่ให้คบ

 

วัฒนะ บุญจับ...เรื่อง
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพลายเส้น

 

 

 

        มีถ้อยคำไทยอยู่หลายสำนวนที่กล่าวถึงคนที่ไม่ควรคบค้าหรือสมาคมด้วย เช่น เขมรขาว ลาวใหญ่ ไทยเล็ก เจ๊กดำตลอดไปจนถึงลักษณะไม่งามซึ่งหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง  ลักษณะที่ว่านั้น ก็คือ สัตว์เลี้ยงผอม ฤๅษีพี นารีไม่มีถัน 

 

        เอแล้วทำไมโบราณท่านถึงได้ว่าไว้อย่างนั้นล่ะ


 

        เริ่มที่ เขมรขาว ลาวใหญ่ ไทยเล็ก เจ๊กดำ ก่อนก็แล้วกัน  จากคำกล่าวที่เล่าขานสืบกันมานานนมนี้ พอที่จะบอกสาเหตุได้ว่า บุคคลที่ท่านให้ระมัดระวังเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีลักษณะที่ผิดไปจากธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ที่ตัวเองไปอาศัยเกิด และมีลักษณะไปพ้องกับบุคคลที่เคยมีประวัติเลวร้ายในครั้งอดีตด้วยทั้งสิ้น 

 

        ดูอย่าง เขมรขาว ซึ่งบางครั้งพูดเป็น มอญขาว ก็มี ไม่ว่าจะเป็นคนมอญหรือคนเขมรต่างก็มีธรรมชาติผิวสีคล้ำไปจนถึงดำทั้งสิ้น แม้ว่าจะดำถึงขนาดนิโกรก็ตามที ซึ่งต่างไปจากคนจีน หรือที่คนไทยมักเรียกแบบจิกหัวว่า เจ๊กนั้น ปกติแล้วจะมีผิวขาวจนแทบจะดูเป็นซีด แต่ถ้าเป็น เจ๊กดำ เมื่อไรเป็นอันว่าไม่ได้เรื่อง เพราะต่างไปจากพวกเสียแล้ว ซึ่งความคิดนี้ก็คลุมไปถึง ลาวใหญ่ กับ ไทยเล็ก ด้วย ดังความในโคลงกระทู้สุภาษิตที่ว่า

 

                      เขมรขาว เขาห้ามว่า        อย่าคบ
                ลาวใหญ่ ใครปะพบ              อย่าพ้อง

                ไทยเล็ก ชั่วบัดซบ                อย่าเสพย์ มิตรแฮ
                เจ๊กมืด ดำทำท้อง                 เทือกแท้กังฉิน

 

 

        ส่วน สัตว์เลี้ยงผอม ฤๅษีพี นารีไม่มีถัน นั้น เป็นเรื่องของการผิดจากปกติที่ควรจะเป็น ซึ่งลักษณะเช่นนี้ โบราณท่านถือว่าออกไปในเชิงอุบาทว์ คือ ไม่เป็นมงคลต่อผู้ที่ครอบครองหรืออยู่ด้วย เพราะธรรมดาสัตว์ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีควรที่จะอ้วนพีล่ำสัน  ในขณะที่ฤๅษีผู้คร่ำเคร่งอยู่กับการปฏิบัติรักษาศีลบำเพ็ญพรตภาวนา ต้องอดมื้อกินมื้อ ก็ควรที่จะผอมเกร็ง ไม่ใช่มีไขมันส่วนเกินสะสมมากมายเหมือนคนที่กินดีมีสุขทางโลกทั่วไป แล้วไม่งามสมลักษณะของผู้ทรงศีลแต่อย่างใด 

 

        และสุดท้ายคือเรื่องส่วนของสตรีอันทำหน้าที่ให้ชายใหลหลงได้นั้น หากไม่มีเสียแล้ว คนโบราณท่านจึงเห็นว่า คุณค่าที่สตรีมีมากกว่าบุรุษอย่างเด่นชัดนั้น กลับหายไป ทำให้มองอย่างไรก็ไม่งามสมบูรณ์แบบกุลสตรีสักที

 

        ยิ่งคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับลักษณะอย่างนี้ด้วย….จะให้ทำใจได้ง่าย ๆ เรอะ

 

 

 

 

 

 

 

หมายเหตุแห่งความทรงจำ

ต้นฉบับเหลือ ๆ กับพี่ชายใจดี

 

 

        เรื่อง มีเหตุอะไร...ทำไมไม่ให้คบเป็นต้นฉบับที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ เขียนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย พี่วัฒน์ วัฒนะ บุญจับ พี่ชายใจดี นักอักษรศาสตร์ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ผู้มากความสามารถของเรา ที่เขียนหนังสือทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง และยังขับเสภาได้ไพเราะ ไพเราะแค่ไหนก็ลองนึกเอาจากที่พี่เขาเสียงหล่อขนาดเป็นนักจัดรายการวิทยุด้วย  

        ตอนนั้นเรากำลังทำวารสารสำหรับคนรักภาษาและวัฒนธรรมไทยชื่อ รฦก หนังสือในฝันของเรา โดยมีหนังสือ กำปั่น หนังสือภาษาและวัฒนธรรมไทยเล่มเล็กสำหรับเยาวชนเป็นเล่มแทรก ซึ่ง มีเหตุอะไร...ทำไมไม่ให้คบจะต้องลงตีพิมพ์ใน กำปั่น


        ทีนี้ความเมตตาและน้ำใจจาก
ครู ๆ พี่ ๆ นักเขียนในแวดวงวัฒนธรรมที่มาช่วยกันเขียนต้นฉบับให้เรามากมาย จนไม่มีพื้นที่จะลงเรื่องได้ทั้งหมด เลยต้องขอเก็บต้นฉบับของพี่วัฒน์ไว้ลงตีพิมพ์ในฉบับต่อไป

       
แต่จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีฉบับต่อไป

        อยากบอกว่า ยังรฦกถึงความเมตตาและน้ำใจไมตรีของครู ๆ พี่ ๆ ทุกคน ซึ่ง พี่วัฒน์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ทั้งช่วยคิด ช่วยเขียน ช่วยให้คำปรึกษา และเป็นกำลังใจในการจัดทำหนังสือในฝันของเราเล่มนั้นจนสำเร็จ (แถมเลี้ยงข้าวด้วย)


       
ขอบคุณความใจดีของพี่ชายใจดีคนนี้ และขอเอาต้นฉบับที่เหลือกับความทรงจำดี ๆ มาจารึกไว้ที่นี่นะพี่นะ

 

                                                   รฦกถึง
                                                             
คุณหวานเจี๊ยบ จ้า

(อยากกินอีกนะพี่ อาหารอีสานร้านนั้นน่ะ)

 

 

 

 

 

 
 
 
 
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

"แอ๊ดตะไพ" ใครเคยเล่นมั่ง

 

 

 

แอ๊ดตะไพ


“ยายฉ่า”...เล่าเรื่อง
ภาคภูมิ น้อยวัฒน์...ภาพลายเส้น



 

 

 

        เมื่อครั้งยายฉ่าเป็นเด็ก ยังไม่มีเกมคอมพิวเตอร์ เกมออนไลน์  การเล่นที่ยายฉ่าและ หมู่ หรือเพื่อน ในภาษาไทยเบิ้ง บ้านโคกสลุง จังหวัดลพบุรี บ้านยายฉ่า ชอบเล่นกันมากคือ แอ๊ดตะไพ

 

        ยายฉ่าไม่รู้เหมือนกันว่า แอ๊ดตะไพเป็นภาษาอะไร และทำไมเขาถึงเรียกแอ๊ดตะไพ  บางหมู่บ้านใกล้ ๆ บ้านยายฉ่าก็ออกเสียงต่างกันไป เป็น แอ๊ดสะไพ” “แอ๊ดสะพาย หรือ แอ๊ดตะพาย ก็มี

        การเล่นแอ๊ดตะไพก็เหมือน โป้งแปะหรือ ซ่อนแอบ  พอชักชวนหมู่มาได้สักห้าหกคน ก็ต้องมา แปลกกูออกกันก่อน  บ้างก็เรียก แปลกออกหรือ โอลาแปลกออก (“โอน้อยออกหรือ โอแปลกประหลาดเป็นนั่นละ) จนเหลือสองคนสุดท้ายก็จะ เป่ายิง ฉุบ


 

        ทีนี้ใครแพ้ สมมติว่าชื่อมืด ก็ต้อง เป็น โดยการหลับตานับหนึ่งถึงสิบ ให้หมู่ไป ซุก(ซ่อน หรือแอบ) แล้วจึงออกตามหา

        ที่ซุกยอดนิยมก็ไม่พ้นซอกโอ่ง ไม่ก็ยุ้งข้าว (เรือนหลังน้อยที่สร้างไว้เก็บข้าว) และยังมีข้อตกลงกันก่อนด้วยว่าให้ซุกได้เฉพาะ เดิ่นบ้าน หรือลานบ้านเท่านั้น ห้ามขึ้นเรือนเด็ดขาด

        ตอนนี้ตี๊ต่างว่ายายฉ่าซุกอยู่ข้างซอกโอ่งแล้วนะ  จุ๊..จุ๊...อย่าอึงไปนา

 


        แอ๊ดตะไพจุก !


       
นั่น..เจ้าจุกโดนแอ๊ดตะไพเป็นคนแรก เพราะหัวจุกดันโผล่พ้นโอ่งขึ้นมาให้เจ้ามืดเห็นแต่ไกล

        แอ๊ดตะไพมุ่ย !...แอ๊ดตะไพแดง !

         อ้าว ! โดนแอ๊ดตะไพกันใหญ่  ถ้าเจอครบทุกคน เจ้าจุกคนแรกที่ถูกเจอก็ต้องเป็น  แต่ถ้าโชคดีมีคนเก่งมา ป๊อก คือเอามือแตะโดนตัวเจ้ามืด เจ้ามืดก็ต้องเป็นต่อ

        เวลา ป๊อกนี่ต้องให้โดนตัว ส่วน แอ๊ดตะไพ ไม่ต้อง แค่ตาเห็นแล้วบอกว่าอยู่ไหน อย่าง แอ๊ดตะไพฉ่าอยู่หลังโอ่งก็พอ

         แต่ไม่มีทางหรอกที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะยายฉ่าเก่ง

        ป๊อก !

         ในที่สุดยายฉ่าก็ดอดย่องเข้าไปป๊อกเจ้ามืดได้ทันการ

         เฮ !

         เสียงไชโยโห่ร้องปรบมือกระโดดเหยง ๆ กันกรูเกรียวราวกับยายฉ่าเป็นวีรสตรีก็ไม่ปาน

         เจ้าจุกโล่งอก ส่วนเจ้ามืดก็หน้ามืดไปเลย..หุหุ..สนุกจริง ๆ

         ยายฉ่าว่า แร็กนาร็อก เค้าเต้อสะไต๊ก็เหอะ...สู้แอ๊ดตะไพไม่ได้หรอก

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา
จากคอลัมน์ กาลครั้งนั้น
  ในหนังสือ กำปั่น
หนังสือเล่มเล็กสำหรับเยาวชน
ฉบับแทรกในหนังสือ รฦก
ฉบับไหว้ครู
จัดทำโดยกระทรวงวัฒนธรรม
พ.ศ. ๒๕๔๗