วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

"พงศาวดาร"...เครื่องมือยึดกรุงธนบุรี “ซ้ำ”

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


 


 


 


 


ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรี
สำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง ๗ ชั่วโมง

แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้
ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีก
เพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างาม
ประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว


๑๓ ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน
การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ พระราชพงศาวดาร เป็นอาวุธ

ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร
พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม

ในบทความชื่อ
แฉ แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ

เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด

คำตอบจะเป็นเช่นไร
กรุณาตรวจสอบใน ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายนนี้
แล้วท่านจะพบว่า

พงศาวดาร
พูดถึง
ยุคเข็ญปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!





 


   พงศาวดาร    
   เครื่องมือยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ


โดย...วิภา จิรภาไพศาล









   เจ้าพระยาจักรี
 
 กลับจากราชการทัพกรุงกัมพูชา
 
 ขณะเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี
   (จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถาน 
   แห่งชาติ พระนคร)



         
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความและนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป็นระยะ


          ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕

          แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่านมา ๒๒๖ ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีหลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสารหรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

          สำหรับนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นระยะ เช่น บทความชื่อ ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี ของปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

          ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชา ซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุงธนบุรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นเวลา ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก  บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง ๒๔ ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ ๒๔ ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า


 


กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล
แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง
ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้
จะให้พ่อบวชก็ดี
ฤๅจะใส่ตรวนพ่อก็ดี
พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น

(ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐)









   พระบรมราชานุสาวรีย์
 
 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
   ประดิษฐานนอกกำแพง
 
 พระราชวังเดิม
   ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
 
 ฝั่งธนบุรี


          หรือบทความชื่อ ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี สัญญาวิปลาสของพระเจ้าตากสิน ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐) ตั้งข้อสังเกตว่า

          พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือพระเจ้าตากสิน เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

          ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟือนจนถึงแก่สัญญาวิปลาสจนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรวมทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

          คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง เป็นทางการซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่าง ๆ...

         
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี ฉบับ คือ ๑. ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)  ๒. ฉบับบริติชมิวเซียม  ๓. ฉบับหมอบรัดเลย์ และ ๔. ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

          พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชาศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ         

          ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปลายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพระมหากษัตริย์ลงอีก...

          เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี สัญญาวิปลาส ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

          และในเดือนพฤษภาคมนี้ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้ง  ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ แฉ แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ ที่ว่า

          การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุงรัตนโกสินทร์สำเร็จราบคาบในคราวเดียว หรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง ๗ ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใด ๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีก เพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว








  
พงศาวดาร
   เครื่องมือในการยึดกรุงธนบุรี



         
๑๓ ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ พระราชพงศาวดาร เป็นอาวุธ

          โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแปรไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

         
โดยพระราชพงศาวดารที่มีการ ชำระ ในครั้งนั้นคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ทำไมจึงเลือกพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ปรามินทร์ให้เหตุผลว่า

          พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ชาติสยามในช่วงกรุงธนบุรีอย่างมาก เนื่องจากถูกใช้เป็นต้นฉบับในการ ชำระ พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ ในเวลาต่อมา เช่น พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม พระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม (ฉบับหมอบรัดเลย์) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นต้น

          โดยพระราชพงศาวดารแต่ละฉบับมีความเกี่ยวเนื่องกันดังนี้ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เป็นต้นแบบให้ฉบับพระพนรัตน์ใช้ ชำระ ดัดแปลง แต่งเติม ฉบับพระพนรัตน์เป็นต้นฉบับที่หมอบรัดเลย์ใช้พิมพ์ และฉบับหมอบรัดเลย์ เป็นต้นฉบับในการชำระของฉบับพระราชหัตถเลขา

          เนื้อความส่วนใหญ่ในพระราชพงศาวดารทั้ง ฉบับ จึงสอดคล้องและเสริมซึ่งกันและกันในรายละเอียดที่ตกหล่น แต่ส่วนที่ต่อเติมเสริมเข้ามานี้ มักจะถูกตั้งข้อสังเกตในความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด

          อย่างไรก็ตาม การชำระพระราชพงศาวดารดังกล่าวยังคงทิ้งร่องรอยที่ขัดแย้งกันไว้ ในพระราชพงศาวดาร ๒ ฉบับ คือ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา

          โดยพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการยกทัพใหญ่ไปตีกรุงกัมพูชาดังนี้


 


          ครั้นปีฉลูตรีศก (จ.ศ. ๑๑๔๓ พ.ศ. ๒๓๒๔) เดือนยี่ ดำรัสให้จัดทัพเป็น ๖ ทัพ ให้เจ้าพระยาสุรศรีเป็นทัพหน้า พระเจ้ากษัตริย์ศึกเป็นจอมทัพหลวง กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นทัพหนุน เจ้าพระยานครสวรรค์เป็นยกรบัตร กรมขุนรามภูเบศรเป็นทัพหลัง พระยาธรรมมาเป็นกองลำเลียง ยกไปตีเมืองพุทไธเพ็ชร์
          ฝ่ายการแผ่นดินข้างกรุงธนบุรีนั้นก็ผันแปรต่าง ๆ เหตุพระเจ้าแผ่นดินเสียพระจริตฟั่นเฟือนไป ฝ่ายพุทธจักรอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนไปเป็นหมู่ มิได้เป็นปกติเหมือนแต่ก่อน เหตุพระเจ้าแผ่นดินนั้นทรงนั่งอูรุพัทธ์ โดยพระกรรมฐานสมาธิ และยังภิกษุทั้งปวงให้คารวะเคารพนบนมัสการแก่พระองค์ ฝ่ายการในอากาศเล่า ก็วิปริตต่างๆ คือมีอุกาบาตรและประทุมกาษบันดาลตกเป็นต้น


 


          ขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ว่า


 


          เริ่มต้นเมื่อกรุงธนบุรีทราบข่าวจลาจลที่กรุงกัมพูชา ในเดือน ๒ ปีชวด หรือก่อนเจ้าพระยาจักรีจะยกทัพไปเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ กับพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาเก่าเป็นเกียกกายกองหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้งหกทัพเป็นพลหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองพุทไธเพชร...
          ...ฝ่ายพระพุทธจักรและอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนวิปริตมิได้ปกติเหมือนแต่ก่อน ครั้นลุศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลู ตรีศก ทรงพระกรุณาให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไป ณ เมืองจีนเหมือนตามเคยมาแต่ก่อน และปีนั้นโปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วย
          ครั้นถึง ณ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ โรงพระแก้ว ให้ประชุมพระราชาคณะพร้อมกัน และพระองค์มีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส สำคัญพระองค์ว่าได้พระโสดาปัตติผล จึงดำรัสถามพระราชาคณะว่า พระสงฆ์บุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด


 


          เมื่อรวมเหตุการณ์ในพงศาวดารทั้ง ๒ ฉบับ ลำดับเหตุการณ์จะเป็นดังนี้
          ...๑. เดือน ๒ ปีชวด เตรียมทัพ  ๒. เดือน ๒ ปีฉลู ยกทัพ  ๓. เดือน ๗ ปีฉลู ส่งทูตไปจีน  ๔. เดือน ๙ ปีฉลู เกิดเหตุพระเจ้าตากมีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส


          ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา ความจริง เกี่ยวกับ เวลา เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร ที่ผู้เขียน (ปรามินทร์ เครือทอง) พยายามชี้ให้เห็น  ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายนนี้ แล้วท่านจะพบว่า


          พงศาวดารพูดถึง ยุคเข็ญ ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


 


  


ที่มา : หน้า ๒๐  หนังสือพิมพ์มติชน  วันที่ ๐๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
http://www1.matichonmultimedia.com/~matichon/news_detail.php?id=26012&catid=47


 


 



8 ความคิดเห็น:

  1. อ่านกันเหนื่อยเลย ขอบคุณนะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะคุณน้อง

    อิอิ อ่านอยู่นาน ตั้งใจนั่งเขียนเมนท์อยุ่นาน เสร็จจะโพสท์เครื่องแฮงค์เฉยเลย...สงสัยนานเกินกำหนดเวลา

    อิอิ เลยเข้ามาใหม่...มาขอบคุณน่ะค่ะ

    ตอบลบ
  3. ยาวจนอ่านเหนื่อยจริง ๆ ด้วยค่ะ
    แต่อ่านแล้วก็น่าสนใจดีใช่มั้ยคะ
    ดีใจจังที่มีคนเข้ามาอ่าน
    ขอบคุณ "คุณเน" ด้วยค่า

    ตอบลบ

  4. เรื่องมันยาวมากเลยนะคะคุณพี่ขา
    อุตส่าห์แอบเอาเพลงมาใส่
    คนอ่านจะได้อ่านไปฟังเพลงไป
    เพลงก็ดันไม่เล่นซะอีก...เฮ่อ !!!!
    เป็นบุญหูของทุกท่านจริงจี๊งงงงงงงงงงงงงงงงง

    ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ

    ตอบลบ
  5. เป็นบุญหูที่ไม่ได้ฟังเหรอค่ะ??
    อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยแม่นาง...อิอิ

    ตอบลบ

  6. ท่านจอมยุทธ์กล่าวเกินไป...หึหึ

    ตอบลบ