
Rating: | ★★★★★ |
Category: | Other |
“พงศาวดาร”
เครื่องมือยึดกรุงธนบุรี “ซ้ำ”
โดย...วิภา จิรภาไพศาล
|
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความและนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป็นระยะ
ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕
แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่านมา ๒๒๖ ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีหลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสารหรือการตีความใหม่เกิดขึ้น
สำหรับนิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” นำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นระยะ เช่น บทความชื่อ “ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี” ของปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด
ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชา ซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุงธนบุรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นเวลา ๑ ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง ๒๔ ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ ๒๔ ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า
“กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล
แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง
ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้
จะให้พ่อบวชก็ดี ฤๅจะใส่ตรวนพ่อก็ดี
พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น”
(ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐)
|
หรือบทความชื่อ “ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี ‘สัญญาวิปลาส’ ของพระเจ้าตากสิน” ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐) ตั้งข้อสังเกตว่า
“พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือ ‘พระเจ้าตากสิน’ เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า
ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟือนจนถึงแก่ ‘สัญญาวิปลาส’ จนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรวมทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้
คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง ‘เป็นทางการ’ ซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่าง ๆ...”
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี ๔ ฉบับ คือ ๑. ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ๒. ฉบับบริติชมิวเซียม ๓. ฉบับหมอบรัดเลย์ และ ๔. ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ
“พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชาศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ
ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปลายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพระมหากษัตริย์ลงอีก...”
เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี “สัญญาวิปลาส” ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม
และในเดือนพฤษภาคมนี้ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้ง ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ “แฉ” แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี “ซ้ำ” ที่ว่า
“การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุงรัตนโกสินทร์สำเร็จราบคาบในคราวเดียว หรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง ๗ ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใด ๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีก เพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว
|
๑๓ ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ ‘พระราชพงศาวดาร’ เป็นอาวุธ
โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแปรไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
โดยพระราชพงศาวดารที่มีการ “ชำระ” ในครั้งนั้นคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ทำไมจึงเลือกพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ปรามินทร์ให้เหตุผลว่า
“พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ชาติสยามในช่วงกรุงธนบุรีอย่างมาก เนื่องจากถูกใช้เป็นต้นฉบับในการ ‘ชำระ’ พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ ในเวลาต่อมา เช่น พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม พระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม (ฉบับหมอบรัดเลย์) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นต้น
โดยพระราชพงศาวดารแต่ละฉบับมีความเกี่ยวเนื่องกันดังนี้ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เป็นต้นแบบให้ฉบับพระพนรัตน์ใช้ ‘ชำระ’ ดัดแปลง แต่งเติม ฉบับพระพนรัตน์เป็นต้นฉบับที่หมอบรัดเลย์ใช้พิมพ์ และฉบับหมอบรัดเลย์ เป็นต้นฉบับในการชำระของฉบับพระราชหัตถเลขา
เนื้อความส่วนใหญ่ในพระราชพงศาวดารทั้ง ๔ ฉบับ จึงสอดคล้องและเสริมซึ่งกันและกันในรายละเอียดที่ตกหล่น แต่ส่วนที่ต่อเติมเสริมเข้ามานี้ มักจะถูกตั้งข้อสังเกตในความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร ‘ฉบับหลวง’ เหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม “การชำระ” พระราชพงศาวดารดังกล่าวยังคงทิ้งร่องรอยที่ขัดแย้งกันไว้ ในพระราชพงศาวดาร ๒ ฉบับ คือ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
โดยพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการยกทัพใหญ่ไปตีกรุงกัมพูชาดังนี้
“ครั้นปีฉลูตรีศก (จ.ศ. ๑๑๔๓ พ.ศ. ๒๓๒๔) เดือนยี่ ดำรัสให้จัดทัพเป็น ๖ ทัพ ให้เจ้าพระยาสุรศรีเป็นทัพหน้า พระเจ้ากษัตริย์ศึกเป็นจอมทัพหลวง กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นทัพหนุน เจ้าพระยานครสวรรค์เป็นยกรบัตร กรมขุนรามภูเบศรเป็นทัพหลัง พระยาธรรมมาเป็นกองลำเลียง ยกไปตีเมืองพุทไธเพ็ชร์
ฝ่ายการแผ่นดินข้างกรุงธนบุรีนั้นก็ผันแปรต่าง ๆ เหตุพระเจ้าแผ่นดินเสียพระจริตฟั่นเฟือนไป ฝ่ายพุทธจักรอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนไปเป็นหมู่ มิได้เป็นปกติเหมือนแต่ก่อน เหตุพระเจ้าแผ่นดินนั้นทรงนั่งอูรุพัทธ์ โดยพระกรรมฐานสมาธิ และยังภิกษุทั้งปวงให้คารวะเคารพนบนมัสการแก่พระองค์ ฝ่ายการในอากาศเล่า ก็วิปริตต่างๆ คือมีอุกาบาตรและประทุมกาษบันดาลตกเป็นต้น”
ขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ว่า
“เริ่มต้นเมื่อกรุงธนบุรีทราบข่าวจลาจลที่กรุงกัมพูชา ในเดือน ๒ ปีชวด หรือก่อนเจ้าพระยาจักรีจะยกทัพไปเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ กับพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาเก่าเป็นเกียกกายกองหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้งหกทัพเป็นพลหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองพุทไธเพชร...
...ฝ่ายพระพุทธจักรและอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนวิปริตมิได้ปกติเหมือนแต่ก่อน ครั้นลุศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลู ตรีศก ทรงพระกรุณาให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไป ณ เมืองจีนเหมือนตามเคยมาแต่ก่อน และปีนั้นโปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วย
ครั้นถึง ณ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ โรงพระแก้ว ให้ประชุมพระราชาคณะพร้อมกัน และพระองค์มีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส สำคัญพระองค์ว่าได้พระโสดาปัตติผล จึงดำรัสถามพระราชาคณะว่า พระสงฆ์บุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด”
เมื่อรวมเหตุการณ์ในพงศาวดารทั้ง ๒ ฉบับ ลำดับเหตุการณ์จะเป็นดังนี้
“...๑. เดือน ๒ ปีชวด เตรียมทัพ ๒. เดือน ๒ ปีฉลู ยกทัพ ๓. เดือน ๗ ปีฉลู ส่งทูตไปจีน ๔. เดือน ๙ ปีฉลู เกิดเหตุพระเจ้าตากมีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส”
ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา “ความจริง” เกี่ยวกับ “เวลา” เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร ที่ผู้เขียน (ปรามินทร์ เครือทอง) พยายามชี้ให้เห็น ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน “ศิลปวัฒนธรรม” เดือนเมษายนนี้ แล้วท่านจะพบว่า
พงศาวดารพูดถึง “ยุคเข็ญ” ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!
ที่มา : หน้า ๒๐ หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ ๐๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
http://www1.matichonmultimedia.com/~matichon/news_detail.php?id=26012&catid=47
อ่านกันเหนื่อยเลย ขอบคุณนะครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะคุณน้อง
ตอบลบอิอิ อ่านอยู่นาน ตั้งใจนั่งเขียนเมนท์อยุ่นาน เสร็จจะโพสท์เครื่องแฮงค์เฉยเลย...สงสัยนานเกินกำหนดเวลา
อิอิ เลยเข้ามาใหม่...มาขอบคุณน่ะค่ะ
ยาวจนอ่านเหนื่อยจริง ๆ ด้วยค่ะ
ตอบลบแต่อ่านแล้วก็น่าสนใจดีใช่มั้ยคะ
ดีใจจังที่มีคนเข้ามาอ่าน
ขอบคุณ "คุณเน" ด้วยค่า
ตอบลบเรื่องมันยาวมากเลยนะคะคุณพี่ขา
อุตส่าห์แอบเอาเพลงมาใส่
คนอ่านจะได้อ่านไปฟังเพลงไป
เพลงก็ดันไม่เล่นซะอีก...เฮ่อ !!!!
เป็นบุญหูของทุกท่านจริงจี๊งงงงงงงงงงงงงงงงง
ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ
เป็นบุญหูที่ไม่ได้ฟังเหรอค่ะ??
ตอบลบอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยแม่นาง...อิอิ
เสียงดี...
ตอบลบ
ตอบลบท่านจอมยุทธ์กล่าวเกินไป...หึหึ
ตอบลบขอบคุณค่า
เดี๋ยวเลี้ยงหนม