วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2551

ดวงพระชะตาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช - โดย...พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์

Rating:★★★★★
Category:Other

 


สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๓ มีนาคม
พุทธศักราช ๒๒๗๗
จุลศักราช ๑๐๗๖
ซึ่งตรงกับวันอังคาร
แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล
เวลา ๕ นาฬิกา ๔๕ นาที
ณ กรุงศรีอยุธยา

ดาวอาทิตย์อยู่ในราศีมีน ซึ่งเป็นธาตุน้ำ
เรียกว่า อาทิตย์ตกน้ำ

พยากรณ์ได้ว่า
เป็นผู้ที่ทำบุญคุณคนไม่ขึ้น



 



ดวงพระชะตา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


 
โดย...พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์


 



       
ผมเป็นผู้หนึ่งที่มีความสนใจในพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นอย่างยิ่ง ได้ติดตามอ่าน ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของพระองค์ท่านจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร จดหมายเหตุต่าง ๆ มาโดยตลอด  หนังสือฉบับล่าสุดที่ผมอ่าน และเห็นว่ามีรายละเอียด เนื้อหาสาระเป็นประโยชน์ได้มาก ได้แก่ หนังสือชื่อ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ค้นคว้าและเขียนโดยคุณนิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งช่วยทำให้ผมจินตนาการเห็นภาพเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ตามข้อเขียนของคุณนิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นอย่างมาก

        ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้เขียนถึง
วันพระราชสมภพของพระองค์ท่านในลักษณะที่ไม่แน่ชัดว่า พระองค์ท่านประสูติวันใดในปีพุทธศักราช ๒๒๗๗ เนื่องจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สามารถอ้างอิงได้บางฉบับขัดแย้งกัน  ในฐานะที่ผมเป็นผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้าวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวด้วยตนเอง ทั้งแบบไทย ฮินดู และตะวันตก มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๔๐ ปี จึงเห็นว่า วิชาการแขนงนี้จะมีส่วนช่วยในการค้นหาเวลาย้อนหลังกลับไปในอดีตได้

        เนื่องในโอกาสที่กองทัพเรือได้ร่วมกับสมาคมภริยาทหารเรือดำเนินโครงการบูรณะโบราณสถานในบริเวณพระราชวังเดิมกรุงธนบุรี ผมจึงตกลงใจที่จะนำเอาวิทยาการซึ่งผมได้ศึกษามานานมาประยุกต์ค้นหาดู  ถึงแม้ว่าผลการค้นคว้าของผมนี้อาจจะมีประโยชน์ในทางประวัติศาสตร์ไม่มากนัก แต่ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า วิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวนี้ เป็นวิชาการที่ไม่หลอกลวง เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นประโยชน์ได้ในอนาคต หากได้มีการศึกษาอย่างลึกซึ้งจริงจัง

        ผมต้องขอออกตัวไว้ล่วงหน้าว่า
คำพยากรณ์ที่ผมจะเขียนต่อไปนี้อาจจะไม่ตรงหรือขัดแย้งกับหลักวิชาที่ท่านโหราจารย์ชื่อดังหลายท่านในยุคสมัยนี้ได้ศึกษามา แต่ผมรับรองว่า ทุกบททุกตอนที่เขียนไว้ บทความนี้มีที่มาจากตำราซึ่งเขียนโดยปรมาจารย์วิชาโหราศาสตร์ทั้งไทยและเทศ ซึ่งผมไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดได้ในบทความนี้ ซึ่งเขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านทั่วไปได้

        หากคำพยากรณ์ที่ผมเขียนนี้ มีความเป็นไปได้ ใกล้เคียงความจริง เป็นประโยชน์ต่อวิชาการประวัติศาสตร์และโหราศาสตร์ในอนาคต อันเป็นกุศล ผมขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และขอมอบให้แด่ท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ที่ล่วงลับไปแล้ว  หากมีข้อความตอนใดที่จะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของบุรพมหากษัตราธิราชไทยพระองค์หนึ่งพระองค์ใด ถ้าดวงพระวิญญาณมีจริง ขอได้โปรดพระราชทานอภัยโทษแก่ผม ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจที่จะศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ โดยมิได้มีเจตนาจะลบหลู่แต่ประการใดด้วย


       
เกี่ยวกับปีพระราชสมภพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ฯ กล่าวอ้างอิงถึงวันสวรรคต และพระชนมายุจนถึงวันสวรรคต กล่าวไว้แตกต่างกัน เป็นนัยดังนี้

        ๑. จดหมายเหตุโหรกล่าวว่า วันสวรรคตของพระเจ้ากรุงธนบุรี คือ วันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ (จดหมายเหตุโหร ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘) หลังจากวันที่เจ้าพระยาจักรีกลับมาถึงเมืองธนบุรีได้เพียง ๔ วัน  และความในพระราชพงศาวดาร (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ) ได้กล่าวว่า หากวันที่เสด็จกลับมาถึงกรุงธนบุรีเป็นวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ วันสวรรคตของพระเจ้ากรุงธนบุรีน่าจะเป็นวันที่
๑๐ เมษายนในปีนั้น

        ๒. ได้ปรากฏหลักฐานของบาทหลวงฝรั่งเศสที่เขียนขึ้นตามคำเล่าลือหลังจากเหตุการณ์ประมาณ ๙ เดือนว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่
๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ (จดหมายเหตุคณะบาทหลวงในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๙)

        ๓. ได้มีหลักฐานไทยกล่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จสวรรคตในวันที่
๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ โดยกล่าวไว้ว่า

          ...
เมื่อกองทัพของพระยาจักรีมาถึงธนบุรีในตอนเช้า (วันที่ ๖ เมษายนฯ) พรรคพวกบริวารก็ได้เตรียมการต้อนรับแล้วแห่แหนกันจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกเข้าประทับอยู่ที่ศาลาลูกขุน มีหมู่พฤฒาจารย์ราชกุลเฝ้าพร้อมกัน (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๖ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ) และในที่ประชุมขุนนางนั้นก็ได้มีการปรึกษาโทษของพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ กระทรวงธรรมการ)...

          ...
จึงมีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาตกับผู้คุมก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ....ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสียถึงแก่พิราลัย จึงรีบสั่งให้เอาศพไปฝังไว้ ณ วัดบางยี่เรือใต้ (พระราชพงศาวดารกรุงสยาม โรงพิมพ์หมอบรัดเล)

       
การตรวจสอบวันพระราชสมภพได้คิดคำนวณย้อนกลับจากวันที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตวันใดวันหนึ่ง โดยถือตามจดหมายเหตุโหรที่กล่าวว่า เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ ๔๘ ปี กับ ๑๕ วัน (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘ จดหมายเหตุโหร) ซึ่งปรากฏแน่ชัดว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระราชสมภพในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๗ แน่นอน

        อย่างไรก็ตาม ได้มีการกล่าวไว้ในเอกสารอื่น ๆ ว่า
วันพระราชสมภพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ (หนังสือ อภินิหารบรรพบุรุษ) บ้าง วันที่ ๑๗ เมษายนบ้าง (หนังสือ ราชวงศ์จักรีวงศ์และราชสกุลพระเจ้าตากสินมหาราช) วันที่ ๗ เมษายนบ้าง (SOMDEJ PHRA CHAO TAK SIN MAHARAT โดย de FELS , JACOUELINE)

        สำหรับประเด็นหลัง ๆ นี้ สามารถตัดออกได้เลย เนื่องจากผมได้ทดลองคำนวณดูแล้ว ปรากฏว่า วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ. ๒๒๗๗ ตรงกับวันที่ ๔ เมษายน ปีเดียวกัน ดังนั้น
เมื่อคิดคำนวณพระชนมายุจนถึงวันเสด็จสวรรคตแล้ว จะไม่ถึง ๔๘ ปี ๑๕ วัน ดังที่ปรากฏในจดหมายเหตุโหร ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อมากที่สุดฉบับหนึ่ง  อนึ่ง ในช่วงเวลาเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ ดาวศุกร์ได้โคจรถอยหลังจากราศีเมษไปสถิตอยู่ราศีมีน ซึ่งส่งอิทธิพลสำคัญอย่างหนึ่งแก่เจ้าชะตาดังกล่าวต่อไป

        ดังนั้น หากใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อว่าอาจจะเป็น
วันเสด็จสวรรคตที่กล่าวเป็นนัยไว้รวม ๓ ประการ คือ วันที่ ๖ เมษายน หรือ วันที่ ๗ เมษายน หรือวันที่ ๑๐ เมษายน ซึ่งตรงกับวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ มาคิดคำนวณตามพระชนมายุตามที่ระบุไว้ในจดหมายเหตุโหรจะได้ผลดังนี้

       
หากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคตในวันที่ ๖ เมษายน พระองค์ท่านจะทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๗  และถ้าเสด็จสวรรคตในวันที่ ๗ เมษายน จะทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๓ มีนาคม ส่วนที่ว่าเสด็จสวรรคตในวันที่ ๑๐ เมษายนนั้น วันพระราชสมภพจะตรงกับวันที่ ๒๖ มีนาคม

        เมื่อได้ทำการคำนวณย้อนหลังทางโหราศาสตร์ดวงดาวกลับไปยังในวันที่กล่าวถึงทั้งสามวันแล้ว จุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ใหญ่จะสถิตอยู่ในราศีเดียวกัน แตกต่างกันที่เชิงมุมไม่มากนัก  ส่วนดาวพระเคราะห์รอง ซึ่งได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ และดาวอังคาร จะอยู่แตกต่างกันทั้งราศีที่สถิต และเชิงมุมองศามากยิ่งขึ้น  ข้อแตกต่างของดาวพระเคราะห์กลุ่มนี้ในวันที่ ๒๒ และ ๒๓ มีนาคมจึงมีน้อยมาก  ข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัดกันระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคม กับวันที่ ๒๖ มีนาคม ได้แก่ จุดที่ตั้งของดาวศุกร์ในวันที่ ๒๒-๒๓ มีนาคมได้สถิตอยู่ที่ราศีเมษ ทำมุม ๑ องศา ๒๖ ลิปดา และ ๑ องศา ๕ ลิปดาตามลำดับ (ดาวศุกร์เดินถอยหลัง)  ส่วนในวันที่ ๒๖ มีนาคมนั้น ดาวศุกร์ได้ย้ายไปสถิตในราศีมีน ทำมุม ๒๙ องศา ๕๐ ลิปดาแล้ว (เช่นเดียวกับในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกันที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น)

        จากตำราโหราศาสตร์ที่โบราณจารย์ได้เขียนกล่าวไว้ว่า
ศุกร์ในราศีเมษเป็นคนสนิทกับท่านผู้มียศศักดิ์ (แนวทางศึกษาโหราศาสตร์นี้นั้นเขียนโดยอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร)

        ถึงแม้ว่า ดาวศุกร์ที่สถิตอยู่ในราศีมีนจะเป็นมหาอุจให้คุณแก่เจ้าของชะตาก็ตาม แต่เมื่อตรวจสอบตามพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชดังจะได้กล่าวต่อไปแล้ว มีเหตุผลที่น่าเชื่อว่า ในพระดวงชะตา ไม่น่าจะมีดาวศุกร์อยู่ในราศีมีนนี้

       
อนึ่ง โดยเหตุผลทางการเมือง เมื่อมีการปราบดาภิเษกเกิดขึ้น และมีความจำเป็นต้องปลงพระชนมชีพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจริง ผู้ที่คิดอ่านเรื่องนี้จะต้องหาทางรีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งหลายชั้นหลายตอน หากปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนาน อาจเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเปลี่ยนพระทัยได้

        ทั้งเหตุผลทางการเมืองและทางโหราศาสตร์จึงน่าเชื่อว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมิได้ทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๖ มีนาคม

        เหตุผลทางพงศาวดารที่สนับสนุนเรื่องจุดที่ตั้งของดาวศุกร์ในราศีเมษก็คือ

        นายสินและนายบุนนาค (สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราชของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ล้วนเคยเป็นมหาดเล็กในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์อยู่เวรศักดิ์...(เอกสาร...มหามุขมาตยานุกูลว่าด้วยลำดับวงศ์ตระกูลขุนนางทั้งสิ้นในกรุงสยาม)

       
การที่นายสินซึ่งเป็นคนไทยลูกจีนพ่อค้าโดยกำเนิดได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติหน้าที่มหาดเล็กใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน จึงน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของดาวศุกร์ที่สถิตราศีเมษ

        อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ได้เคยเล่าให้ผมฟังว่า แม้แต่ในรัชกาลปัจจุบันก็มี เจ้าของดวงชะตาที่ถือกำเนิดในสกุลชาติธรรมดา และมีดาวศุกร์สถิตในราศีเมษ ได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดยุคลบาทอยู่หลายท่านด้วยกัน

        เมื่อประเด็นวันพระราชสมภพเป็นวันที่ ๒๖ มีนาคมอ่อนลง จึงยังคงเหลือวันที่ ๒๒ และวันที่ ๒๓ มีนาคม ซึ่งเมื่อพิจารณาจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ในราศีต่าง ๆ แล้ว จะแตกต่างกันเฉพาะเชิงมุมองศาของดาวจันทร์เท่านั้น

        หากวันพระราชสมภพเป็นวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๗ วันที่เสด็จสวรรคตจะเป็นวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และถ้าวันพระราชสมภพเป็นวันที่ ๒๓ มีนาคม วันที่เสด็จสวรรคตก็คือ วันที่ ๗ เมษายน

        ได้มีหลักฐานระบุไว้ในพระราชพงศาวดารว่า ทัพของเจ้าพระยาจักรีมาถึงเมืองธนบุรี ในวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ) ซึ่งตรงกับวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เวลารุ่งอรุณ

        ในวันนี้ ผมมีความเห็นเช่นสามัญชนว่า
ถึงแม้ว่าที่ประชุมขุนนางจะมีความเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่า ให้ประหารชีวิตพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าคงจะไม่รับสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิตทันที เพราะถึงแม้ว่าจะเสด็จมาถึงเมื่อตอนเช้า เมื่อเสด็จถึงแล้วคงจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งซึ่งเป็นการส่วนพระองค์ก่อน การเรียกประชุมขุนนางน่าจะกระทำในตอนบ่าย หรือเย็น เมื่อได้มีการพิพากษาโทษพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว การประหารชีวิตจึงน่าจะยกไปกระทำในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ ๗ เมษายน  ไม่ทราบว่า ความเห็นของผมในประเด็นนี้จะผิดหรือถูกประการใด จึงใคร่ขอฟังความคิดเห็นจากท่านผู้รู้และสนใจท่านอื่น ๆ ด้วย

        ดังนั้น ผมจึงขอตัดประเด็นวันพระราชสมภพที่ตรงกับวันที่ ๒๒ มีนาคมออกไป จึงเหลือ
วันที่ ๒๓ มีนาคม ซึ่งตรงกับจดหมายเหตุคณะบาทหลวง (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๙)

        จากการศึกษาคำนวณจุดที่ตั้งและกำลังดาวพระเคราะห์ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๗ นี้ เพื่อให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมจากโหราศาสตร์เป็นการสนับสนุน จำเป็นต้องมีการคำนวณหาเวลาพระราชสมภพ (วางพระราชลัคนา) ซึ่งเมื่อได้มีการคำนวณเลือกหาเวลาที่เหมาะสม โดยการนำเอาพระราชประวัติ พระราชอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่ต้นจนตลอดพระชนม์ชีพเท่าที่จะหาได้ในเอกสารประวัติศาสตร์พงศาวดาร ในที่สุดจึงได้
เวลา ๐๕.๔๕ นาฬิกา ของวันอังคารที่ ๒๓ มีนาคม (ทางโหราศาสตร์ไทยเรายังถือว่าเป็นวันจันทร์ที่ ๒๒ มีนาคม เนื่องจากยังไม่ถึงเวลารุ่งอรุณของวันนั้นคือ เวลา ๐๖ นาฬิกา ๒๐ นาที)  พระราชลัคนาจึงสถิตในราศีมีน ตรียางศ์ที่ ๑ นวางศ์ที่ ๑  ต่อจากนั้นได้นำเอาจุดที่ตั้งและกำลังดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ ในดวงพระชะตามาคำนวณตรวจสอบความเป็นไปได้ประกอบแล้ว ปรากฏผลเป็นที่น่าเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง

        อย่างไรก็ตาม การที่จะนำรายละเอียดของดาวพระเคราะห์ทุกดวงในดวงพระชะตา พร้อมกับคำพยากรณ์ที่ปรมาจารย์วิชาการโหราศาสตร์ทั้งไทย ฮินดู และตะวันตกได้สั่งสอนไว้มาชี้แจงประกอบ จะทำให้ท่านที่ไม่มีความรู้ทางโหราศาสตร์มาก่อนอ่านไม่รู้เรื่อง และจะต้องใช้หน้ากระดาษมากทีเดียว ผมจึงจะขอยกตัวอย่างการพิสูจน์ความเป็นไปได้มา ณ ที่นี้สักหนึ่งตัวอย่าง ดังนี้

        ตามตำราโหราศาสตร์ ลัคนาเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งที่ช่วยระบุรูปร่างลักษณะของเจ้าชะตาได้ (ลัคนาไม่ใช่ดาวพระเคราะห์ แต่เป็นจุดตัดระหว่างระวิมรรค หรือเส้นทางโคจรของดวงอาทิตย์กับเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกตามเวลาตกฟาก หรือเวลาเกิดของเจ้าชะตา)

        ดังนั้น ตามเวลาพระราชสมภพที่ผมคำนวณไว้ พระราชลัคนาจึงสถิตราศีมีน เกาะตรียางศ์ที่ ๑ นวางศ์ที่ ๑ ซึ่งมีดาวจันทร์เป็นเจ้านวางศ์
จึงพยากรณ์ได้ว่า เจ้าชะตาจะเป็นคนรูปร่างเล็ก ผิวขาวเหลือง  ประเด็นนี้คงไม่มีใครขัดแย้งเพราะตามประวัติศาสตร์ได้ระบุชัดว่าพระองค์ท่านทรงเป็นคนไทยลูกจีน จึงมีพระฉวีสีขาวเหลือง ส่วนรูปรางนั้นจะเล็กจริงตามคำพยากรณ์หรือไม่เพียงไรนั้น ได้ปรากฏหลักฐานเขียนโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวเดนมาร์กผู้เคยพบเห็นพระองค์ท่านกล่าวไว้ว่า ... บัดนี้ เราได้ติดตามชีวประวัติของชายร่างเล็กคนหนึ่งนับตั้งแต่เกิดจนถึงเวลาที่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ทั้งของสังคมไทยและตัวเขาเอง กลายเป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบมา เพราะความยิ่งใหญ่ของทั้งบุคคล และสิ่งที่ได้กระทำขึ้น.... (A HISTORY OF MODERN THAILAND โดย B.J. TERWIEL)

        อนึ่ง การวางพระราชลัคนาไว้ ณ ราศีมีนนี้ เป็นราศีเดียวกับที่ดาวอาทิตย์สถิตอยู่ นอกจากจะพยากรณ์ได้ว่า
เป็นผู้ที่ทำบุญคุณคนไม่ขึ้น (ดาวอาทิตย์อยู่ในราศีมีนซึ่งเป็นธาตุน้ำ เรียกว่า อาทิตย์ตกน้ำ)  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดาวอาทิตย์สลับเรือนอุจกับดาวศุกร์ซึ่งสถิตอยู่ในราศีเมษและกุมพระราชลัคนาอยู่ด้วย จึงส่งผลให้ยังคงกำลัง ซึ่งจะแสดงออกถึงคุณลักษณะเด่นประจำพระองค์ประการหนึ่งคือ การเป็นผู้นำที่ดี

        เมื่อได้กล่าวถึงรูปร่างลักษณะของพระองค์ท่านไปแล้ว ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ประจำวันที่ ๒๘ ธันวาคมปีที่แล้ว ได้อัญเชิญพระบรมสาทิศลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จำลองมาจากภาพเขียน ซึ่งได้มีผู้ไปพบในพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศแห่งหนึ่งมาลง แต่ต่อมาได้มีผู้เขียนมาแย้งว่า น่าจะเป็นรูปขุนนางไทยคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไม่มีโอกาสที่จะแสดงความเห็นขัดแย้งในขณะนั้น จึงขอถือโอกาสนี้ แสดงความเห็นว่า ขุนนางไทยในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในระดับสูงเพียงใด จะไม่มีโอกาสได้แต่งกายด้วยเสื้อและเครื่องประดับที่มีค่าสวยงามได้เช่นนี้ เพราะสภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองไทยที่เพิ่งฟื้นตัวหลังจากการกู้ชาติในขณะนั้นยังไม่อำนวย จะมีก็แต่พระมหากษัตราธิราช เพื่อการแต่งพระองค์เป็นการเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น  หากรูปภาพนี้เป็นพระบรมสาทิสลักษณ์จริง ย่อมเป็นการพิสูจน์สนับสนุนผลการคำนวณทางโหราศาสตร์ดวงดาวที่ผมได้คิดและนำมาผูกเป็นพระชะตาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้อีกส่วนหนึ่ง

       
สรุปว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๓ มีนาคม (โหราศาสตร์ตะวันออกยังถือว่าเป็นวันที่ ๒๒ มีนาคม) พุทธศักราช ๒๒๗๗ จุลศักราช ๑๐๗๖ ซึ่งตรงกับวันอังคาร (โหราศาสตร์ตะวันออกยังถือว่าเป็นวันจันทร์) แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล เวลา ๕ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ กรุงศรีอยุธยา


 


เรียบเรียง ณ วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑


 


 


 


ที่มา : ข้อมูลจาก http://web.schq.mi.th/~suriyon/suri_doc/154.htm
ภาพจากเว็บไซต์ และ คุณลักยิ้ม
 


 


 

เจ้าตาก








จิ๊กมาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ
บางภาพก็มีคนส่งมาให้
เช่นภาพนี้ หนู "ลักยิ้ม" ให้มา


ขอบคุณแหล่งภาพทุกแหล่ง
และขออภัยที่ไม่ได้อ้างอิงชื่อเว็บไซต์


วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

โทรเลขสั่งลา...มาส่งโทรเลขฉบับสุดท้ายเป็นที่รฦกกัน

Rating:★★★★★
Category:Other

"อำลาอาลัย
การใช้โทรเลข
ก่อนจะปิดตัวลง
ในวันที่ ๑ พฤษภาคมนี้
ร่วมส่งโทรเลขเป็นที่ระลึก
บริการฟรี
๒๔-๓๐ เมษายนนี้
ณ ที่ทำการไปรษณีย์
ทั่วประเทศ"


 


 



 


 


 


 โ ท ร เ ล ข สั่ ง ล า


 เชิญชวนประชาชนส่งโทรเลขฟรี
 เป็นที่ระลึก ช่วง ๒๔-๓๐ เมษายน



          รมว. ไอซีทีย้ำปิดให้บริการโทรเลขแน่นอน ๑ พฤษภาคมนี้ ชี้ไม่คุ้มค่าใช้จ่ายเดือนละ ๒๕ ล้านบาท แต่มีรายได้แค่ ๑ ล้าน และผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ต้องการแค่ใบทวงหนี้เพื่อเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง


                                       


 


 


 เชิญชวนร่วมส่งโทรเลขฟรีสั่งลา


 ๒๔-๓๐ เมษายน




          นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยในรายการ "สังคมพิพากษ์" ทางวิทยุเอฟเอ็ม ๑๐๐.๕ เมกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายนนี้ ถึงการยกเลิกให้บริการโทรเลขวันที่ ๑ พฤษภาคมนี้ ยืนยันว่ายกเลิกแน่นอน เพราะปัจจุบันแทบจะไม่มีผู้ใช้บริการ  ที่ยังเหลืออยู่บ้างเป็นการส่งโทรเลขเพื่อทวงหนี้  ในอดีตยังมีโทรเลขข้อความแสดงความยินดี-ธุระด่วน-แสดงความเสียใจ แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือสื่อสารอื่นที่รวดเร็วกว่ามาแทนแล้ว

          นอกจากนี้ รายได้จากบริการโทรเลขมีเพียง ๑ ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ขณะที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ต้องจ่ายค่าจ้างให้บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นผู้ส่งให้เดือนละ ๒๕ ล้านบาท กับจำนวนพนักงานกว่า ๑,๐๐๐ คน ซึ่งทยอยเกษียณอายุราชการและโอนย้ายไปทำงานอื่นของไปรษณีย์บ้าง จะเหลือพนัก


งานที่ทำด้านโทรเลขน้อยมาก


 




          "ตัวเลขรายได้น้อยมาก ดูแล้วไม่มีพื้นที่จำเป็นยังต้องใช้โทรเลข มือถือมีกันทั่วไปแล้ว ดังนั้น แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรในการดำเนินการ  ไม่ได้พูดในแง่คุ้มหรือไม่คุ้มอย่างเดียว ถ้าจำเป็นต้องบริการถึงที่ไหนก็ต้องทำ แต่ปัจจุบันไม่มีคนใช้เลย  จะมีรายได้อย่างเดียวที่ยังใช้อยู่ร้อยละ ๘๐-๙๐ เป็นเรื่องใบส่งทวงหนี้เพราะต้องการให้เป็นหลักฐาน มีตราของบริษัทไปรษณีย์ฯ อยู่  การยกเลิกโทรเลขก็เป็นไปตามอายุขัยของเทคโนโลยี  แต่พวกเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ส่งโทรเลขจะได้เก็บทำเป็นพิพิธภัณฑ์ต่อไป" รัฐมนตรีว่าการไอซีทีกล่าว


 



 


          นายมั่นกล่าวว่า สำหรับการรับส่งจดหมายยังมีต่อไป แม้ปัจจุบัจะใช้อินเทอร์เน็ตกันมากและส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม แต่คนยังมีอินเทอร์เน็ตใช้น้อยอยู่ คือประมาณร้อยละ ๑๗-๑๘ ของคนไทยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การสื่อสารในชีวิตคนจะคำนึงถึงความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ ทุกอย่างจึงต้องปรับตัว และอนาคตจะใช้กระดาษน้อยที่สุด

         
รัฐมนตรีไอซีทีกล่าวเชิญชวนด้วยว่า เพื่อเป็นการส่งท้ายอำลาอาลัยการใช้โทรเลขก่อนจะปิดตัวลง บริษัทไปรษณีย์ไทยจะเปิดไปรษณีย์กลางทั่วประเทศให้บริการฟรีส่งโทรเลขไว้เป็นที่ระลึก ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ เมษายนนี้ โดยจะเปิดถึงเวลา ๒๐.๐๐ น. และหากนับการก่อตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลขจะมีอายุครบ ๑๒๕ ปีในเดือนสิงหาคมนี้


 


 


ที่มา :

ข้อมูลจาก
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=xcite&iDate=21/Apr/2551&news_id=157394&cat_id=200100

ภาพจาก
http://www.postjung.com/hottopic/data/8/8121.php


 


 


 


* * * * *
มาเล่นส่งโทรเลขฉบับสุดท้าย
เป็นที่รฦกกันไหม



ใครจะให้ "ป้าหวานฯ" ส่งโทรเลขฉบับสุดท้ายไปถึง
ฝากชื่อที่อยู่มานะจ๊ะ


อย่าลืมส่งให้ "ป้าหวานฯ" ด้วยจ้า
* * * * *




วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

"พงศาวดาร"...เครื่องมือยึดกรุงธนบุรี “ซ้ำ”

Rating:★★★★★
Category:Other

 


 


 


 


 


 


ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรี
สำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง ๗ ชั่วโมง

แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้
ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีก
เพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างาม
ประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว


๑๓ ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน
การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ พระราชพงศาวดาร เป็นอาวุธ

ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์
ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร
พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม

ในบทความชื่อ
แฉ แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ

เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด

คำตอบจะเป็นเช่นไร
กรุณาตรวจสอบใน ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายนนี้
แล้วท่านจะพบว่า

พงศาวดาร
พูดถึง
ยุคเข็ญปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!





 


   พงศาวดาร    
   เครื่องมือยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ


โดย...วิภา จิรภาไพศาล









   เจ้าพระยาจักรี
 
 กลับจากราชการทัพกรุงกัมพูชา
 
 ขณะเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี
   (จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถาน 
   แห่งชาติ พระนคร)



         
บรรดาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาติ มีบางเหตุการณ์ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ ทำให้มีการตีความและนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นใหม่อยู่เป็นระยะ


          ดังเช่นเหตุการณ์สวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสิน) พระปฐมบรมราชกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕

          แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะผ่านมา ๒๒๖ ปี หากคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับแตกต่างกันไป มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ากรุงธนบุรีหลายต่อหลายครั้ง เมื่อมีเอกสารหรือการตีความใหม่เกิดขึ้น

          สำหรับนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาเป็นระยะ เช่น บทความชื่อ ชำแหละแผนยึดกรุงธนบุรี ของปรามินทร์ เครือทอง ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงกรุงธนบุรีแตกไว้โดยละเอียด

          ตั้งแต่ การเกิดรัฐประหารขึ้นในกัมพูชา ซึ่งอยู่ในอำนาจของกรุงธนบุรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นเวลา ปี ก่อนกรุงธนบุรีแตก  บรรยากาศทางการเมืองที่มีกลุ่มต่างๆ ก่อตัวขึ้น จนถึง ๒๔ ชั่วโมงสุดท้ายของกรุงธนบุรี และ ๒๔ ชั่วโมงแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนพระราชดำรัสสุดท้ายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ให้ชวนคิดว่า


 


กูวิตกแต่ศัตรูมาแต่ประเทศเมืองไกล
แต่เดี๋ยวนี้ไซ้ลูกหลานของกูเอง
ว่ากูคิดเปนบ้าเปนบอแล้วดังนี้
จะให้พ่อบวชก็ดี
ฤๅจะใส่ตรวนพ่อก็ดี
พ่อจะยอมรับทำตามใจลูกบังคับทั้งสิ้น

(ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐)









   พระบรมราชานุสาวรีย์
 
 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
   ประดิษฐานนอกกำแพง
 
 พระราชวังเดิม
   ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
 
 ฝั่งธนบุรี


          หรือบทความชื่อ ความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติศาสตร์ และการให้ความหมายต่อกรณี สัญญาวิปลาสของพระเจ้าตากสิน ผลงานการค้นคว้าข้อมูลของศิริวรรณ ลาภสมบูรนานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐) ตั้งข้อสังเกตว่า

          พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือพระเจ้าตากสิน เป็นที่เคลือบแคลงเสมอมาโดยเฉพาะในช่วงปลายรัชกาล ในพระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ ทั้งที่เขียนขึ้นร่วมสมัยและฉบับที่ชำระใหม่ภายหลัง ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินไว้ว่า

          ทรงถูกสำเร็จโทษอันเนื่องมาจากว่าทรงมีพระสติฟั่นเฟือนจนถึงแก่สัญญาวิปลาสจนเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาและไม่อาจปกครองบ้านเมืองรวมทั้งอาณาประชาราษฎร์ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นได้

          คำอธิบายนี้ได้กลายเป็นแม่แบบคำอธิบายอย่าง เป็นทางการซึ่งได้รับการผลิตซ้ำ (reproduction) อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการพิมพ์เผยแพร่พระราชพงศาวดารและจดหมายเหตุต่าง ๆ...

         
และกล่าวถึงพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี ฉบับ คือ ๑. ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)  ๒. ฉบับบริติชมิวเซียม  ๓. ฉบับหมอบรัดเลย์ และ ๔. ฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ

          พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และฉบับบริติชมิวเซียม เป็นพระราชพงศาวดารที่ชำระขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงยังคงข้อความถวายพระเกียรติพระเจ้าตากสินด้วยราชาศัพท์หรือคำยกย่องในบุญญาบารมีอยู่มาก...และคงลักษณะยกย่องอย่างนั้นจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่มีการรวบรัดตัดความ         

          ส่วนพระราชพงศาวดารฉบับหมอบรัดเลย์และฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งชำระขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ให้ความยกย่องแก่พระเจ้าตากสิน...ยิ่งในช่วงปลายรัชกาลยิ่งลดทอนพระเกียรติของพระเจ้าตากสินในฐานะพระมหากษัตริย์ลงอีก...

          เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการเขียนประวัติ และการให้ความหมายต่อกรณี สัญญาวิปลาส ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม

          และในเดือนพฤษภาคมนี้ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมนำเสนอบทความเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกครั้ง  ปรามินทร์ เครือทอง กลับมาชวนท่านผู้อ่านคิดต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  หากคราวนี้สมรภูมิเป็นพื้นที่ในพงศาวดาร พื้นที่สำหรับสร้างความชอบธรรม ในบทความชื่อ แฉ แผนใช้พงศาวดารยึดกรุงธนบุรี ซ้ำ ที่ว่า

          การทำรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินจากกรุงธนบุรีไปสู่กรุงรัตนโกสินทร์สำเร็จราบคาบในคราวเดียว หรือจะให้ละเอียดกว่านั้นคือ ศึกกลางเมืองยึดกรุงธนบุรีสำเร็จเด็ดขาดด้วยเวลาเพียง ๗ ชั่วโมง และตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ไม่มีแรงปฏิกิริยาใด ๆ จากกลุ่มอำนาจเก่าหรือฝ่ายพระเจ้าตากเลย... แต่งานปราบปรามกรุงธนบุรียังมิได้ลุล่วงไปอย่างสมบูรณ์แท้ดังที่ทราบกัน ยังคงมีสิ่งที่ต้องชำระสะสางกันอีก เพื่อให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความสง่างามประดุจรัตนชาติซึ่งไร้ตำหนิรอยร้าว








  
พงศาวดาร
   เครื่องมือในการยึดกรุงธนบุรี



         
๑๓ ปี หลังจากการปราบดาภิเษกเปลี่ยนแผ่นดิน การยึดกรุงธนบุรีได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งกระทำโดยปราศจากการใช้กำลังและความรุนแรง แต่เป็นการยึดกรุงธนบุรีโดยใช้ พระราชพงศาวดาร เป็นอาวุธ

          โดยเฉพาะพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีในช่วงปลายรัชกาล นับตั้งแต่เค้าลางแห่งการรัฐประหารเริ่มเกิดขึ้น โครงสร้างของเนื้อความในพระราชพงศาวดารก็วิบัติผันแปรไปตามเหตุการณ์ เพื่อสนับสนุนให้เนื้อเรื่องตอนฉากจลาจลในพระนคร เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและสมควรแก่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

         
โดยพระราชพงศาวดารที่มีการ ชำระ ในครั้งนั้นคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ทำไมจึงเลือกพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ปรามินทร์ให้เหตุผลว่า

          พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ชาติสยามในช่วงกรุงธนบุรีอย่างมาก เนื่องจากถูกใช้เป็นต้นฉบับในการ ชำระ พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ ในเวลาต่อมา เช่น พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม พระราชพงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม (ฉบับหมอบรัดเลย์) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เป็นต้น

          โดยพระราชพงศาวดารแต่ละฉบับมีความเกี่ยวเนื่องกันดังนี้ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เป็นต้นแบบให้ฉบับพระพนรัตน์ใช้ ชำระ ดัดแปลง แต่งเติม ฉบับพระพนรัตน์เป็นต้นฉบับที่หมอบรัดเลย์ใช้พิมพ์ และฉบับหมอบรัดเลย์ เป็นต้นฉบับในการชำระของฉบับพระราชหัตถเลขา

          เนื้อความส่วนใหญ่ในพระราชพงศาวดารทั้ง ฉบับ จึงสอดคล้องและเสริมซึ่งกันและกันในรายละเอียดที่ตกหล่น แต่ส่วนที่ต่อเติมเสริมเข้ามานี้ มักจะถูกตั้งข้อสังเกตในความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เราไว้ใจพระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด

          อย่างไรก็ตาม การชำระพระราชพงศาวดารดังกล่าวยังคงทิ้งร่องรอยที่ขัดแย้งกันไว้ ในพระราชพงศาวดาร ๒ ฉบับ คือ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา

          โดยพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการยกทัพใหญ่ไปตีกรุงกัมพูชาดังนี้


 


          ครั้นปีฉลูตรีศก (จ.ศ. ๑๑๔๓ พ.ศ. ๒๓๒๔) เดือนยี่ ดำรัสให้จัดทัพเป็น ๖ ทัพ ให้เจ้าพระยาสุรศรีเป็นทัพหน้า พระเจ้ากษัตริย์ศึกเป็นจอมทัพหลวง กรมขุนอินทรพิทักษ์เป็นทัพหนุน เจ้าพระยานครสวรรค์เป็นยกรบัตร กรมขุนรามภูเบศรเป็นทัพหลัง พระยาธรรมมาเป็นกองลำเลียง ยกไปตีเมืองพุทไธเพ็ชร์
          ฝ่ายการแผ่นดินข้างกรุงธนบุรีนั้นก็ผันแปรต่าง ๆ เหตุพระเจ้าแผ่นดินเสียพระจริตฟั่นเฟือนไป ฝ่ายพุทธจักรอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนไปเป็นหมู่ มิได้เป็นปกติเหมือนแต่ก่อน เหตุพระเจ้าแผ่นดินนั้นทรงนั่งอูรุพัทธ์ โดยพระกรรมฐานสมาธิ และยังภิกษุทั้งปวงให้คารวะเคารพนบนมัสการแก่พระองค์ ฝ่ายการในอากาศเล่า ก็วิปริตต่างๆ คือมีอุกาบาตรและประทุมกาษบันดาลตกเป็นต้น


 


          ขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวไว้ว่า


 


          เริ่มต้นเมื่อกรุงธนบุรีทราบข่าวจลาจลที่กรุงกัมพูชา ในเดือน ๒ ปีชวด หรือก่อนเจ้าพระยาจักรีจะยกทัพไปเป็นเวลา ๑ ปีเต็ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหน้า พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทักษ์ กับพระยากำแหงสงครามเจ้าเมืองนครราชสีมาเก่าเป็นเกียกกายกองหนุน พระยานครสวรรค์เป็นยกกระบัตรทัพ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศเป็นทัพหลัง พระยาธรรมาเป็นกองลำเลียง ทั้งหกทัพเป็นพลหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองพุทไธเพชร...
          ...ฝ่ายพระพุทธจักรและอาณาจักรทั้งปวงเล่า ก็แปรปรวนวิปริตมิได้ปกติเหมือนแต่ก่อน ครั้นลุศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลู ตรีศก ทรงพระกรุณาให้แต่งทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการลงสำเภาออกไป ณ เมืองจีนเหมือนตามเคยมาแต่ก่อน และปีนั้นโปรดให้หลวงนายฤทธิเป็นอุปทูตออกไปด้วย
          ครั้นถึง ณ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๙ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ โรงพระแก้ว ให้ประชุมพระราชาคณะพร้อมกัน และพระองค์มีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส สำคัญพระองค์ว่าได้พระโสดาปัตติผล จึงดำรัสถามพระราชาคณะว่า พระสงฆ์บุถุชนจะไหว้นบเคารพคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น จะได้หรือมิได้ประการใด


 


          เมื่อรวมเหตุการณ์ในพงศาวดารทั้ง ๒ ฉบับ ลำดับเหตุการณ์จะเป็นดังนี้
          ...๑. เดือน ๒ ปีชวด เตรียมทัพ  ๒. เดือน ๒ ปีฉลู ยกทัพ  ๓. เดือน ๗ ปีฉลู ส่งทูตไปจีน  ๔. เดือน ๙ ปีฉลู เกิดเหตุพระเจ้าตากมีพระสติฟั่นเฟือนถึงสัญญาวิปลาส


          ถึงตรงนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกันค้นหา ความจริง เกี่ยวกับ เวลา เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในพงศาวดาร ที่ผู้เขียน (ปรามินทร์ เครือทอง) พยายามชี้ให้เห็น  ส่วนคำตอบจะเป็นเช่นไร กรุณาตรวจสอบใน ศิลปวัฒนธรรม เดือนเมษายนนี้ แล้วท่านจะพบว่า


          พงศาวดารพูดถึง ยุคเข็ญ ปลายกรุงธนบุรีได้เสียงดังฟังชัดแค่ไหน !!!


 


  


ที่มา : หน้า ๒๐  หนังสือพิมพ์มติชน  วันที่ ๐๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
http://www1.matichonmultimedia.com/~matichon/news_detail.php?id=26012&catid=47